
พี่สาวขอความช่วยเหลือทหาร น้องชายสติไม่ดีถูกขบวนการนายหน้าจ้างให้ไปติดคุกแทน คดีขับรถน้ำหนักเกินแลกค่าจ้าง 3 หมื่นบาท ตำรวจเตรียมรื้อทำคดีใหม่ทั้งหมด
วันที่ 11 ม.ค. พ.ต.ท.สิทธิศักดิ์ อัครฮาต รอง ผกก.สวนสวน สภ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู และ ร.ต.อ.พิเชฐพงษ์ ราชบัวโคตร ร้อยเวรเจ้าของคดีผู้ต้องหาขับรถบรรทุกอ้อยน้ำหนักเกินเข้ามอบตัวเปิดเผยความคืบหน้าของคดีที่กลายเป็นการจ้างวานให้มาติดคุกแทนว่า
เมื่อวันที่ 24 ม.ค. เจ้าหน้าที่ทางหลวงได้ตรวจจับรถบรรทุกพ่วงน้ำหนักเกิน มีอยู่ 1 คันที่คนขับรถจอดและดับเครื่องวิ่งหนี เจ้าหน้าที่จึงทำบันทึกจับกุมและยึดรถไว้ ผ่านมา 2 วันตัวแทนบริษัทรถพ่วงดังกล่าวโทรศัพท์มาแจ้งว่าจะให้โชเฟอร์รถที่ขับคันดังกล่าวมามอบตัว

จากนั้นก็มี นายอำคา มาแสดงตัวรับว่าขับรถคันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รับตัวและสอบสวนจนแล้วเสร็จและไม่ได้ให้ใช้หลักทรัพย์ประกันตัวเนื่องจากเห็นว่ามอบตัวเอง และได้นัดให้ไปฟังคำฟ้องต่อศาลในวันที่ 15 ก.พ.
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 10 ก.พ. นางบุญเมือง นาชัยเวช อายุ 65 ปี เข้าร้องขอความช่วยเหลือต่อ ร.อ.จีระศักดิ์ สำราญพัฒน์ ทหารกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยหนองบัวลำภู ว่าน้องชายคือนายอำคา อายุ 40 ปี ไม่ได้เป็นคนขับรถที่ทำผิดกฎหมาย แต่มีนายหน้าเปิดร้านขายของชําในหมู่บ้าน มาชักชวนให้ไปรับจ้างเป็นผู้ต้องหาติดคุกแทน ในคดีขับรถอ้อยบรรทุกเกินกว่ากฎหมายกำหนด โดยตกลงจะให้เงินค่าจ้าง 30,000 บาท ตนพึ่งทราบเรื่องและไม่อยากให้น้องชายติดคุกจึงได้เดินทางเข้ามาแจ้งเจ้าหน้าที่ทหารฯ
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อทราบว่า ผู้ที่มามอบตัวนั้นไม่ใช่ผู้ต้องหาที่ขับรถบรรทุกอ้อยน้ำหนักเกิน จึงจะรวบรวมหลักฐานใหม่ โดยจะต้องสอบ นายหน้าที่เป็นหญิงเจ้าของร้านชำในหมู่บ้าน และบริษัทเจ้าของรถที่นำคนอื่นมามอบตัว เบื้องต้น จะไปขอยกเลิกการผัดฟ้อง นายนายอำคา ต่อศาลจังหวัดหนองบัวลำภู

ส่วนนางบุญเมือง พี่สาวนายอำคา กล่าวว่า นาง อ. นามสมมติ ซึ่งเป็นนายหน้าและเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ได้มาอาละวาดด่าทอตนและน้องชายโดยกล่าวว่าตนสร้างความเดือดร้อนให้ นอกจากนั้นยังขู่ว่าน้องชายของตนจะต้องติดคุกและชดใช้เงินเพราะไม่ทำตามสัญญาที่ได้ลงชื่อกันไว้แล้วกรณีรับสมอ้างขับรถพ่วงน้ำหนักเกิน นายหน้ารายดังกล่าวยังได้บอกว่า ได้รับเงินมาจากผู้ว่าจ้างแล้ว 20,000 บาท และจะจ่ายให้เมื่อวันที่ผู้ต้องหาไปขึ้นศาลโดยจะโอนเข้าบัญชีให้
สำหรับนายอำคา น้องชายของตนปกติเป็นคนชอบดื่มเหล้า ไม่ค่อยทำงาน ใครพูดอะไรก็เชื่อ และเมื่อเด็กเคยติดสารระเหยจนสติไม่ค่อยดี เคยนำไปบำบัดจนเลิกสารระเหยแต่สติก็ไม่เต็มร้อยหมอให้ยามาก็ไม่ทาน ต่อมาก็กลับมาดื่มสุราแทน มีเงินเท่าไหร่ก็ดื่มจนหมด จนเมื่อถูกชักชวนก็คล้อยตามตกปากรับคำไปกว่าตนจะรู้ก็ผ่านมาหลายวันจึงได้ไปร้องขอความช่วยเหลือดังกล่าว









