ทีมกฎหมายของนายราจิบ นาซัค อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียผู้อื้อฉาวจากคดีคอร์รัปชัน กำลังพยายามต่อสู้ให้ได้ออกจากคุก มารับโทษด้วยการกักบริเวณในบ้านพักแทน โดยอ้างว่าได้รับพระราชานุญาตจากอดีตกษัตริย์องค์ก่อน
ความเคลื่อนไหวนี้สืบเนื่องมาจากกรณีที่นายนาจิบ ถูกศาลตัดสินให้จำคุก 12 ปี จากความผิดรวม 7 ข้อหาในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการทุจริต และฟอกเงินที่ได้รับมาโดยมิชอบจากกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว วัน มาเลเซีย ดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด (1Malaysia Development Berhad) หรือ 1MDB
ส่งผลให้เขาถูกส่งตัวเข้าเรือนจำตั้งแต่ปี 2022 หลังแพ้อุทธรณ์ในศาลกลางแห่งมาเลเซีย ก่อนที่ในเวลาต่อมา คณะกรรมการพิจารณาการอภัยโทษของมาเลเซีย จะมีมติลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 6 ปี
เท่ากับว่าในเวลานี้ นายนาจิบรับโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำมาแล้ว 2 ปี แต่ทีมกฎหมายของเขากำลังพยายามทำให้เขาออกมารับโทษที่เหลือต่อด้วยการกักบริเวณในบ้านพัก จนกว่าจะครบกำหนด
โดยทนายความของนายนาจิบ ยื่นคำร้องต่อศาลเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน เม.ย. อ้างว่ามีคำสั่งเพิ่มเติม ตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระราชาธิบดีอัล-สุลต่าน อับดุลเลาะห์ อะหมัด ชาห์ แห่งรัฐปะหัง อดีตกษัตริย์องค์ก่อน ที่มาพร้อมกับการพระราชทานอภัยโทษ ระบุให้ นายนาจิบมีสิทธิ์รับโทษที่เหลืออยู่ ด้วยการถูกจองจำในบ้านพักของเขาเอง
ทนายความจึงต้องการให้ศาลสั่งให้รัฐบาลมาเลเซียตอบรับ หรือยืนยันการมีอยู่ของของคำสั่งเพิ่มเติมฉบับนี้ ซึ่งถือเป็นพระราชวินิจฉัยของอดีตกษัตริย์ ที่เพิ่งสละราชสมบัติเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
แต่ศาลสูงมาเลเซียปฏิเสธคำร้องขอดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า บันทึกคำให้การของนายนาจิบที่นำมายื่นต่อศาลนั้น เป็นเพียงคำบอกเล่า ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร จึงไม่มีน้ำหนักมากพอต่อการพิจารณา และรัฐบาลก็ไม่ได้มีหน้าที่ตามกฎหมายในเรื่องนี้
ขณะที่ทนายความของนายนาจิบโต้ว่า รัฐบาลมีหน้าที่ตามหลักศีลธรรม พร้อมกับยืนยันว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป โดยศาลอุทธรณ์มีกำหนดรับฟังคำโต้แย้งของนายนาจิบในวันพฤหัสบดี 5 ธ.ค. นี้
ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายครั้งใหญ่ของรัฐบาลมาเลเซีย หลังจากเมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลเพิ่งมีคำตัดสินยกฟ้องนายนาจิบในข้อหาคอร์รัปชันที่เชื่อมโยงกับคดี 1MDB
แม้ว่าคำตัดสินดังกล่าวยังคงเปิดทางให้อัยการมีสิทธิ์ยื่นฟ้องในข้อหาเดิม หรือรื้อฟื้นคดีในภายหลังได้หากมีหลักฐานใหม่ โดยที่จำเลยไม่มีสิทธิ์คัดค้าน เช่นเดียวกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2019 ที่ศาลสูงเคยสั่งยกฟ้องนายนาจิบในข้อหาฟอกเงิน แต่ในวันต่อมาได้มีการสั่งดำเนินคดีในข้อหาเดิม จนนำไปสู่การพิจารณาว่านายนาจิบมีความผิดจริงและต้องรับโทษจำคุกในปี 2020
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวล่าสุดของศาล ได้ทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่นำโดย นายอันวาร์ อิบราฮิม ถูกตั้งคำถามถึงความเด็ดขาดของนโยบายปราบปรามคอร์รัปชันและการทุจริต ที่เป็นนโยบายชูโรงจนเขาทำให้ชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2022
แม้นายอันวาร์จะยืนยันว่า เขายังคงมุ่งมั่นจะจัดการกับการทุจริต เพียงแต่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีในศาล
แต่ข้อกังขาสำคัญคือ เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลของนายอันวาร์ เพิ่งจะออกมาเปิดเผยว่า กำลังพิจารณาอนุญาตให้กักบริเวณในบ้านสำหรับความผิดในบางกรณี ทำให้ถูกมองว่า อาจเป็นความพยายามเพื่อช่วยเหลือนายนาจิบ หรือนักการเมืองคนอื่นๆ ที่กำลังถูกดำเนินคดี แม้รัฐบาลจะยืนกรานว่าไม่ได้จุดมุ่งหมายแบบนั้น
กษัตริย์มาเลย์ฯ กับพระราชอำนาจอภัยโทษ
ตำแหน่งกษัตริย์ หรือสมด็จพระราชาธิบดีของมาเลเซีย ทรงมีฐานะเป็นประมุขของประเทศ ตามชื่อเรียกในรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า ยังดี เปอร์ตวน อากง หมายถึง ผู้ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำสูงสุดของผู้นำทั้งปวง
โดยผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์ มาจากการเลือกในบรรดาผู้ครองรัฐ 9 รัฐ ผลัดเปลี่ยนกันดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี โดยสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ปัจจุบัน คือ สุลต่าน อิบราฮิม แห่งรัฐยะโฮร์
ในทางปฏิบัติแล้ว กษัตริย์มาเลเซียจะมีบทบาทในเชิงพิธีการเป็นส่วนใหญ่ แม้พระองค์จะมีพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี หรือคัดค้านการยุบสภา แต่ที่ผ่านมา แทบจะไม่มีพระองค์ใดใช้อำนาจในทางการเมืองดังกล่าว
มีเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ที่กษัตริย์มาเลเซียทรงใช้พระราชอำนาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี อย่างครั้งล่าสุด คือ การแต่งตั้ง นายอัมวาร์ อิบราฮิม เมื่อปี 2022 หลัง ผลการเลือกตั้งไม่มีพรรคการเมืองใดครองเสียงข้างมากในสภา จนเกิดความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีต้องเป็นไปตามพระราชวินิจฉัยของกษัตริย์
หรืออีกครั้งหนึ่ง คือเมื่อตอนที่เกิดคดีฉาวทุจริตกองทุน 1MDB ของอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ทำให้การเมืองตกอยู่ในสถานการณ์ไร้เสถียรภาพ นายกรัฐมนตรีลาออกถึง 2 คนติดต่อกัน จนกษัตริย์ต้องใช้พระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
ขณะที่พระราชอำนาจในทางศาล รัฐธรรมนูญมาเลเซียกำหนดให้ กษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการตัดสินพระทัยพระราชทานอภัยโทษผู้ทำผิด ตามคำแนะนำของคณะกรรมการอภัยโทษ
แต่ยังคงมีข้อถกเถียงอยู่ว่าแท้จริงแล้วกษัตริย์มีพระราชอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินพระทัยเองเกี่ยวกับการพระราชทานอภัยโทษบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่ หรือว่าต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะกรรมการอภัยโทษเท่านั้น
ย้อนคดีฉาวทุจริตแสนล้าน 1MDB
กองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว วัน มาเลเซีย ดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด (1Malaysia Development Berhad) หรือ 1MDB คือกองทุนที่รัฐบาลมาเลเซียก่อตั้งขึ้นเพื่อเอาเงินทุนสำรองของประเทศ แทนที่จะเก็บไว้เฉยๆในคลัง ก็เอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนในกิจการต่างๆทั้งในและนอกประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาเงินฝืด และเป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้กับรัฐในอีกทาง
กองทุนนี้ก่อตั้งในเดือน ก.ค. 2009 โดยมี นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียในขณะนั้น เป็นประธานที่ปรึกษาของบอร์ดบริหาร โดยหลังจากเปิดตัวกองทุนมา 2 เดือน 1MDB ได้เอาเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเงินในคลังของประเทศ ไปร่วมทุนกับบริษัท PetroSaudi ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันเอกชนของประเทศซาอุดีอาระเบีย
ทั้งยังมีการระดมทุนหลากหลายวิธีในช่วงระหว่างปี 2009-2015 ไม่ว่าจะเป็นเงินที่มาจากภาษีของประชาชน การออกพันธบัตร และการกู้เงิน เพื่อไปไล่ซื้อกิจการทั้งในและนอกประเทศ รวมแล้วเงินที่ 1MDB ใช้ในการลงทุนทั้งหมดสูงถึง 11,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 398,402 ล้านบาท
จนต่อมากองทุนดังกล่าวถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใส และมีการสืบไปพบว่า มีการโอนเงินไปยังบริษัทปลอมที่ถูกตั้งขึ้นมา และส่งต่อเข้าไปในบัญชีของผู้มีส่วนร่วมในการทุจริตหลายคน รวมถึงตัวของนายนาจิบด้วย มูลค่าความเสียหายมหาศาล
ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีใหญ่ถึงขั้นที่มีการเปิดการสอบสวนในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ และสิงคโปร์
โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า มีการยักยอกเงินออกจากกองทุน 1MDB มากถึง 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 154,552 ล้านบาท ไหลเข้าสู่กระเป๋าของบรรดาผู้นำหัวๆ ของกองทุน
พวกเขานำไปซื้อทั้งอสังหาริมทรัพย์หรู เครื่องบินส่วนตัว เรือยอร์ช เครื่องประดับ อัญมณี ไปจนถึงผลงานศิลปะของจิตรกรเอกของโลกอย่าง แวนโก๊ะ และโมเนต์ และก็นำไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ เพื่อทำการฟอกเงินอีกจำนวนมาก กลายเป็นคดีอื้อฉาวที่นำไปสู่การโค่นอำนาจพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรคที่ปกครองมาเลเซียมาตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ










