
วันที่ 30 เม.ย. นี้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อชี้แจงเรื่องการโอนหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตสื่อ หลังจากถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่า มีคุณสมบัติขัดต่อการเป็นผู้สมัคร ส.ส.คือ ถือหุ้นสื่อมวลชน ขณะที่ธนาธร ยืนยันหลายครั้งว่า เขาโอนหุ้นไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนการลงสมัคร ส.ส.

ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ภาพจาก http://www.prasong.in.th
เรื่องการถือหุ้นสื่อของธนาธร เปิดประเด็นโดยสำนักข่าวอิศรา ที่มี ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการบริหาร เป็นบุคคลสำคัญ
24 เม.ย.ที่ผ่านมา ประสงค์ ให้สัมภาษณ์ สุทธิชัย หยุ่น ในรายการทางเฟซบุ๊กไลฟ์ ถึงกรณีดังกล่าวว่า ข้อมูลมาจากการตรวจสอบข้อมูลของกรมธุรกิจการค้า และข้อมูลจากการที่พรรคหรือสมาชิกพรรคแถลงและโพสต์เฟซบุ๊กพบว่ามีข้อน่าสงสัยหลายประการ เชื่อว่า กกต.ก็คงรวบรวมข้อมูลโดยหลักการเดียวกัน แต่ กกต.อาจจะมีข้อมูลที่ลึกกว่าจากการใช้อำนาจทางกฎหมายเรียกข้อมูลมาได้
ประสงค์ กล่าวว่า เขาได้คุยกับนักกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องหุ้นส่วน พบว่าธุรกรรมการโอนมีการอ้างอิงถึงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 อาจจะสมบูรณ์ในตัวเอง แต่ต้องดูข้อเท็จจริงอื่นๆ ประกอบด้วย ว่าข้อเท็จจริงขัดแย้งกับหลักฐานหรือไม่
ตามกฎหมายพูดชัดเจนว่า การโอนแบบระบุชื่อ ต้องมีการระบุชื่อผู้โอนแล้วต้องมีการลงนาม สาระสำคัญมีการเอาชื่อไปลงในสมุดทะเบียนหุ้นบริษัท แต่ในกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องแพ่งเฉยๆ แต่มีข้อโต้แย้งในเรื่องคุณสมบัติ และมีพยานหลักฐานอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวพัน ซึ่งองค์กรชี้ขาดต่างๆ ก็ต้องเอาข้อเท็จจริงมาดูด้วย
สำหรับรายละเอียดอย่างการชี้แจงว่าเดินทางกลับจากบุรีรัมย์ มาเพื่อโอนหุ้น เวลาไหนและวิธีใด ประสงค์ มองว่า เป็นเพียงปัจจัยแวดล้อมส่วนเดียวที่ไม่ใช่ส่วนสำคัญ แต่อาจจะเป็นการตรวจสอบในส่วนอื่นๆ ได้
****

ทั้งนี้ พรรคอนาคตใหม่ ชี้แจงว่า วันที่ 8 ม.ค. 62 นายธนาธร และภรรยา ได้โอนหุ้นให้ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดา เพื่อเตรียมตัวสมัครรับเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม มีการแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 62
จึงเกิดคำถามว่าจะต้องยึดวันใดระหว่าง วันโอนหุ้น กับ วันแจ้งนายทะเบียน ไปจนถึงกับการตั้งข้อสังเกตว่ามีการโอนหุ้นในวันที่ 8 ม.ค. จริงหรือไม่ หรือมีการสร้างหลักฐานย้อนหลัง จนนำมาซึ่งการพยายามตรวจสอบว่า วันที่ 8 ม.ค. นายธนาธร อยู่ที่ใดและเดินทางกลับจากบุรีรัมย์ ซึ่งไปช่วยผู้สมัครหาเสียงกลับมาที่ กทม. ตามที่มีการระบุว่ากลับมาโอนหุ้น ในเวลาใดและด้วยวิธีใด
ซึ่ง ธนาธร ให้สัมภาษณ์ เมื่อ 28 เม.ย. ว่า เรื่องนี้มั่นใจมากว่าจะชี้แจงได้
“ถ้ากระบวนการพิจารณาเป็นตามตัวบทกฎหมาย ไม่มีทางเอาผิดเราได้ วันที่ 30 เม.ย.ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก สามารถชี้แจงได้ทุกเรื่อง เรามีหลักฐานพร้อม ฝ่ายที่ตรวจสอบเรา สื่อที่ตรวจสอบเรา ตั้งข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมด แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครสามารถนำหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์มาหักล้างเราได้ มีแต่ข้อสังเกตหยุมหยิม แล้วเอาเรื่องนี้ปั่น พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกวัน จนประชาชนจำนวนมากหลงเชื่อไปแล้วว่าธนาธรซุกหุ้น หลงเชื่อไปแล้วว่าธนาธรเป็นคนผิด ยืนยันอีกครั้งว่า วันที่ 30 เม.ย. ที่จะไป กตต. เราพร้อม ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก ความจริงคือความจริง เอาหลักฐานมาสู้กัน”
****

สำหรับประสงค์ และสำนักข่าวอิศรา มีชื่อเสียงในการทำข่าวเจาะและตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก หนึ่งในนักการเมืองที่เขาเคยทำหน้าที่ตรวจสอบคือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แม้ในช่วงที่กระแสสังคมเทเสียงสนับสนุนอย่างเต็มที่ อย่างก่อนช่วงเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินเรื่องการซุกหุ้นให้กับคนรับใช้ในบ้าน
เขาเคยให้สัมภาษณ์ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ไว้ในนิตยสาร GM ฉบับ มี.ค. 2549 และรวบรวมไว้ในหนังสือ OCTOBER เล่ม 6 ที่พิมพ์เมื่อ ก.พ. 2560 ว่า ตอนนั้น มีแต่กระแสสังคมเชียร์ว่าทักษิณดี สุจริต จะนำพาประเทศชาติรอด ซึ่งประสงค์ ตั้งข้อสังเกตว่า การที่คนที่ไม่เห็นข้อเท็จจริง ไม่รู้ข้อมูลในอดีต ไม่รู้พฤติกรรมการทำธุรกิจในอดีต ทำไมถึงกล้าไปรับรองว่าสุจริต
แต่สังคมขณะนั้นเกลียดกลัวประชาธิปัตย์อย่างรุนแรง บวกกับกระแสที่ว่าทักษิณ คือความหวัง ทำให้ผู้คนมองข้ามหรือจงใจมองข้ามข้อเท็จจริงถึงขนาดรับรองว่าคนคนหนึ่งสุจริต ส่วนเขาคลุกคลีกับข้อมูลสามารถตอบคำถามนี้ได้
หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า ทักษิณไม่มีความผิดด้วยเหตุผลว่า “บกพร่องโดยสุจริต” เขายอมรับว่า รู้สึกผิดหวัง เพราะได้ทุ่มเทในการค้นหาและตรวจสอบข้อมูลแต่ผลกลับออกมาตรงข้ามกับข้อเท็จจริงที่เขาหามาได้
แม้เขาจะเป็นเสียงส่วนน้อยในสังคมในเวลานั้น แต่ในเวลาต่อมาคนที่เคยสนับสนุนทักษิณก็กลับมาเป็นฝ่ายฝ่ายที่ต่อต้านและขับไล่

“ในเมื่อสังคมเลือกสิ่งที่เขาอยากเลือก โดยมองข้าม เมินเฉย ไม่สนใจต่อข้อเท็จจริง หรือคิดว่าเป็นความผิดเล็กน้อย สังคมก็ต้องยอมรับสิ่งที่จะได้รับหากเกิดผลในทางตรงกันข้ามกับที่คาดหวัง หรือฝันว่าจะได้อัศวินขี่ม้าขาวเข้ามา ขณะนี้หลายๆ คนที่เลือกเขาเข้ามาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว (สัมภาษณ์ 2549) ก็หันมาเป็นแกนนำในการต่อต้านขับไล่”
ส่วนประสงค์ก็ยังตรวจสอบทักษิณอย่างเข้มข้นต่อไป จนหลายกรณีที่เขาตั้งต้นไว้กลายมาเป็นคดีความของอดีตนายกรัฐมนตรีหลายคดีในเวลาต่อมา









