แนวคิด ‘ซื้อหนี้’ ทั้งหมดของประชาชนออกจากระบบธนาคาร ย้ายเจ้าหนี้ใหม่โดยมีองค์กรขึ้นมาบริหารและมีเอกชนรับผิดชอบ ที่ออกจากปาก ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เป็นประเด็นถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางแบบเสียงแตกว่า “ทำได้หรือไม่”
ท่ามกลางยอดหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น “หนี้ส่วนบุคคล” ปริมาณมหาศาล แม้ดูเหมือนทักษิณจะเคยทำสำเร็จค่อนข้างสูงมาแล้วสมัยแก้หนี้ผ่านการซื้อหนี้จากสถาบันการเงินหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งตอนนั้นสถาบันการเงินหรือธุรกิจที่มีหนี้เป็นเงินดอลลาร์กลายเป็นมีหนี้ขึ้นเป็น 2 เท่าเพียงข้ามวัน ส่งผลให้ล้มกันระเนระนาด
แต่หนนี้ พอมาเป็นหนี้ส่วนบุคคล เรื่องไม่น่าจะเดินตามรอยเดียวกันได้ขนาดนั้น
แต่คอนเซ็ปต์หลักของการ ซื้อหนี้ คือการพยายามทำให้ ผู้คน ‘คลีน’ ขึ้น ไม่ติดเครดิตบูโร และกลับเข้าสู่ระบบการเงิน ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ง่ายขึ้น ผู้คนนำเงินเพื่อไปลงทุนต่อยอดหาเงินได้เพิ่มขึ้น แทนที่จะ ‘จมหนี้’ วน
ถ้าดูจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยที่ประมาณ 90% แม้จะมีแนวโน้มลดลง แต่ถือว่ายังสูง สภาพตอนนี้คือ ผู้คนยังกดดันไม่กล้าใช้เงิน รัดเข็มขัดแน่น ทำให้เศรษฐกิจไม่โตต่อ
[ ไอเดียซื้อหนี้แบบไม่ใช้เงินรัฐบาล แต่ให้เอกชนลงทุน ]
‘ทักษิณ’ ยืนยันว่า แนวคิดซื้อหนี้จะไม่ใช้เงินรัฐบาล แต่จะให้เอกชนลงทุน ถ้าพูดให้เห็นภาพคือ ทักษิณตามรอยผลงานเก่าของตัวเองสมัยแก้วิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ที่มีการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือที่เรียกย่อๆ ว่า AMC ขึ้น อย่าง บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) และ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) เพื่อจัดการหนี้เสียในระบบ โดยตอนนี้มีหลายบริษัท เช่น BAM,JMT,CHAYO,TH และ KCC
กลไกการทำงานของบริษัทบริหารสินทรัพย์ ก็จะรับโอนหนี้เสียหรือสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ ขายสินทรัพย์ที่มีปัญหาให้กับ AMC โดยสินทรัพย์ที่โอนมาส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระคืนได้ และติดข้อมูลเครดิต ซึ่ง AMC มักได้รับสินทรัพย์เหล่านี้ในราคาส่วนลดจากมูลค่าจริง (เช่น 30-50% ของหนี้ที่แท้จริง)
ตัวอย่างเช่น หนี้เสียมูลค่า 100 ล้านบาท อาจขายให้ AMC ในราคาเพียง 40 ล้านบาท แล้วบริษัทก็จะไปตามต่อลูกหนี้แล้วไกล่เกลี่ยให้เกิดการชำระหนี้ขึ้น ซึ่งถ้าตามได้และจ่ายหมด ลูกหนี้ก็จะกลับสู่ประวัติใสสะอาดมีชีวิตใหม่ ส่วนบริษัทนักทวงก็ได้รายได้จากการทวงเหล่านั้น เพราะซื้อหนี้มาในราคาถูก และทวงกลับมาอาจได้ราคาเต็ม
[ ทำได้จริงหรือ? ]
‘พิชัย ชุณหวชิร’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังแบ่งรับแบ่งสู้ เมื่อนักข่าวถามว่า ตกลงต้องใช้เงินรัฐหรือไม่ รมว.คลัง ตอบว่า ยังไม่ทราบเงื่อนไข แต่เชื่อว่ารัฐบาลต้องอุดหนุนทางใดทางหนึ่ง
ฟังแบบนี้เท่ากับว่ายังมีความเป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้ ถ้าจะบอกว่ารัฐไม่ต้องใช้เงินสักบาท
และบอกว่า มีการคิดไว้หมดแล้วว่ามีกี่วิธี จะเริ่มอันไหนก่อนหน้าหลัง
หนึ่งเบาะแสที่ว่าคิดและเตรียมเรื่อง ‘ซื้อหนี้’ ไว้แล้ว คือเมื่อปีที่แล้วมีการจัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC นี่เป็นการร่วมทุนกันระหว่างธนาคารออมสิน และบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM
วัตถุประสงค์หลักเป็นธุรกิจเพื่อสังคม โดยมีกำไรในระดับที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ได้เข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้หรือไกล่เกลี่ยหนี้ มีโอกาสหลุดพ้นจากการเป็นผู้เสียประวัติทางเครดิตได้เร็วขึ้น กลับมาเป็นสถานะหนี้ผ่อนปกติหรือหนี้ปิดบัญชีจะทำให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต และลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบได้
ในระยะแรกจะรับซื้อและรับโอนหนี้จากธนาคารออมสินเพียงแห่งเดียวก่อน เป็นการรับซื้อหนี้สินเชื่อทั่วไปทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน เป็นกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อรายย่อย SMEs รวมถึงหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ที่มีสถานะ NPLs หนี้สูญ รวมถึง NPA ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 20 ล้านบาท ครอบคลุมลูกหนี้ที่ยังไม่ดำเนินคดี และดำเนินคดีแล้ว
มีรายงานความคืบหน้าว่า บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด ได้รับการโอนหนี้ ครั้งที่ 1 จำนวนกว่า 130,000 บัญชี วงเงิน 11,000 ล้านบาท และธนาคารออมสินจะทำการโอนหนี้อีก 2 ครั้ง ภายในต้นปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลูกหนี้ได้ทั้งหมดกว่า 400,000 บัญชี คิดเป็นมูลค่าเงินต้นกว่า 30,000 ล้านบาท ทำให้น่าจับตาว่าบริษัทนี้อาจตั้งขึ้นมาเพื่อตอบรับนโยบายจากรัฐบาลนั่นเอง
[ ครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สินเฉลี่ย 606,378 บาท/ครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นหนี้เสีย ]
แล้วคนไทยเป็นหนี้อะไรทำไมหนี้ครัวเรือนถึงสูง สะดุดเศรษฐกิจ?
ข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย ปี 2567 จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 1,300 คน พบว่า ครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สินเฉลี่ย 606,378 บาท/ครัวเรือน โดยคิดเป็นสัดส่วนหนี้ในระบบ 69.9% และ หนี้นอกระบบอีก 30.1% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.4% และเพิ่มสูงสุดตั้งแต่มีการสำรวจในรอบ 16 ปี และสูงสุดเป็นอันดับ 7 ของโลก คิดเป็น 90.4-90.8% ของ GDP ประเทศ
โดยหนี้สินส่วนใหญ่คือ หนี้บัตรเครดิต รองลงมาคือ หนี้ซื้อยานพาหนะ หนี้ส่วนบุคคลเพื่อการอุปโภคบริโภค หนี้ที่อยู่อาศัย หนี้เพื่อการประกอบธุรกิจ และหนี้การศึกษา ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบรายได้และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในปัจจุบันพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 46.3 มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 1-1.5 แสนบาท/เดือน
นี่คือเรื่องราวเท่าที่รู้และสถานการณ์ความเคลื่อนไหวตอนนี้ถึงไอเดีย ‘ซื้อหนี้’ จาก ‘ทักษิณ ชินวัตร’ มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะเดินหน้าเรื่องนี้ชัดเจน เพื่อแก้ปัญหาประชาชนที่มี ‘เครดิตเสีย’ มีหนี้เสียติดตัวให้เข้าสู่ระบบการผ่อนชำระ หมดหนี้ นับหนึ่งตั้งต้นใหม่ โดยความหวังว่าปลอดหนี้แล้วธนาคารพาณิชย์จะกล้าปล่อยกู้ และจะเป็นผลไปถึงการช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบ และสุดท้ายก็หวังว่า จะช่วยให้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนของทั้งประเทศ (อาจจะ) ลดลงตามไปด้วย
แต่ทว่าเรื่องนี้ก็ยังไม่ใช่ง่ายๆ เพราะยังมีอีกหลายความท้าทายถ้าจะเกิดนโยบายนี้ขึ้นจริงๆ และต้องมั่นใจว่าเหล่าบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ทั้งหลายมีวิธีที่ครอบคลุมบริหารจัดการ รับหนี้เสียได้มีประสิทธิภาพจริงๆ










