อุปสรรคการศึกษา ของเด็กชนกลุ่มน้อย (ตอน 5)

อุปสรรคการศึกษา ของเด็กชนกลุ่มน้อย (ตอน 5)

FEATURES

https://youtube.com/watch?v=ZamXuMjiDJA

ผลกระทบจากการโกงกองทุนเสมา ลิดรอนโอกาสการศึกษาเด็ก ครั้งนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอุปสรรคต่อการเข้าสุ่ระบบการศึกษาของกลุ่มเด็กชนกลุ่มน้อย ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ลงพื้นที่ 3 จังหวัดภาคเหนือ สำรวจปัญหาพบว่ายังมีเด็กอีก ร้อยละ 20 ที่ยังถูกตัดโอกาสการเข้าถึงการศึกษา

ความยากจนเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เช่นเดียวกับที่บ้านห้วยหมากเลี่ยม ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชี่ยงใหม่ กลุ่มดาราอาง ที่มีประชากร 2,000 คน แต่มีบัตรประชาชนแค่ 500 คน ด้วยข้อจำกัดในการหางานทำและสวัสดิการ พวกเขาทำได้เพียงเป็นลูกจ้างสวนส้ม รายได้ไม่เกิน 250 บาทต่อวัน  ครอบครัวบากน้อย มีสมาชิกทั้งหมด 5 คน ทุกคนต้องมาช่วยทำงาน รวมถึง คำอ้อน บากน้อย วัย 8 ปี เขาสมัครใจมาทำงานในวันหยุด

ข่อง บากน้อย พี่สาวคนโต ตัดสินใจยุติการเรียนหลังจบมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อออกมาทำงานส่งน้องเรียน ปัจจุบันข่อง อายุ 17 ปี ทำงานรับค่าแรงวันละ 240 บาท และตอนนี้ข่องกำลังตั้งครรภ์ 6 เดือน หลังแต่งงานตามค่านิยมของชุมชน

เด็กสาวดาราอางทีนี่ ร้อยละ 75 จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น  ไม่ศึกษาต่อ เพราะเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่มีบัตรประจำตัวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายอีกอำเภอได้ ด้วยระยะทางไกล ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และสิทธิการเดินทางที่รัฐได้ตีกรอบไว้

การให้เด็กสาวแต่งงานในวัยเรียน เป็นวิธีการแก้ปัญหาความยากจนของคนที่นี่  ที่เชื่อว่าการผลักสมาชิกเก่าไปสร้างครอบครัวใหม่ สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้ แต่ข้อเท็จจริงไม่เป็นเช่นนั้น

เครือข่าย IMPECT (อิมเปค) ที่ทำงานกับชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ภาคเหนือระบุว่า อุปสรรคต่อการเข้าถึงระบบการศึกษาของเด็กชาติพันธุ์ คือการไม่มีสถานะบุคคลสัญชาติไทย ไม่สามารถกู้ยืมทุนการศึกษาได้ ทั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายอยู่ตัวอำเภอไกลออกไป การส่งเด็กไปเรียนเป็นภาระใหญ่ ที่ต้องมีค่าใช้จ่าย เช่นค่ารถ ค่าหอพัก รองรับ ซึ่งแน่นอน เป็นเรื่องยากของชนกลุ่มน้อยที่มีรายได้น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ

แม้ระบบการศึกษาถูกปรับปรุงแก้ไขให้ไปในทิศทางเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง แนวทางการปฏิบัติยังคงมีความเหลื่อมล่ำระหว่างเด็กดอยและเด็กเมือง ด้วยข้อจำกัดสถานะของสัญชาติ ถูกตีกรอบทั้งสิทธิการศึกษาซึ่งมีผลกระทบถึงอาชีพ ดังนั้นวิธีที่จะแก้ปัญหา คือ รัฐต้องเปิดโอกาสให้เด็กเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งต้องสอดคล้องกับบริบท วัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้นๆ แม้ว่าในรอบ 10 ปี สามารถดึงเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ร้อยละ 80 แต่ยังมีเด็กอีก ร้อยละ 20 ที่รอโอกาสการศึกษา แท้จริงแล้วสามารถทำได้ไม่ยากหากหน่วยงานรัฐใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในยุคปัจจุบันได้อย่างคุ้มค่า

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง