นับตั้งแต่ เกิดกรณีการปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ผลกระทบไม่เพียงจำกัดในพื้นที่ แต่การถกเถียงในโซเชียลฯ กลับขยายวงขัดแย้งกว้างขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ สมาชิกวุฒิสภา เสนอให้ตัดงบประมาณการศึกษา ที่ส่งเสริมเด็กชาวกัมพูชา ไปจนถึง รมว.ศึกษาธิการ แนะ สอบเข้า ม.1 และ ม.4 ด้วย วิชาประวัติศาสตร์และการเมือง ควรเป็นวิชาหลัก
รายการ HEADLINE ของสำนักข่าว TODAY ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงสองประเด็นนี้โดยละเอียด
[ จากปัญหาชายแดน สู่ความขัดแย้งของคนบางกลุ่ม ]
ในฐานะผู้ติดตามข่าวสาร อ.อรรถพล กล่าวว่า เขาสังเกตเห็นได้ถึงอุณหภูมิขัดแย้ง ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างร้อนแรง และรวดเร็ว รวมถึงคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า ก็ติด “กับดักความเกลียดชัง” ไปด้วย
ถึงขั้นที่ ผสมโรงคอมเมนต์แย้งกับสิ่งที่ตัวเองเคยพูด และเคยเชื่อมา เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชนของเด็ก และเรื่องความเกลียดชังในชาติพันธุ์ต่างๆ โดยที่ประเด็น ‘ตัดงบประมาณการศึกษาที่ส่งเสริมเด็กชาวกัมพูชา?’ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ถกเถียง
อ.อรรถพล อธิบายว่า ในปี 2532 มีอนุสัญญาสิทธิเด็ก ซึ่งไทยได้ลงนามในปี 2535 ก่อนที่ 8 ปีหลังจากนั้น ประเทศไทย จะเป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุน ในเรื่องของการศึกษากับเด็ก
ทั้งนี้อนุสัญญาสิทธิเด็ก เป็นหนึ่งในอนุสัญญาที่มีประเทศต่างๆ ร่วมลงนามมากที่สุดในโลก ในปี 2543 มีการอนุมัติพรบ.การศึกษาแห่งชาติ ไทยถึงได้เป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุน ให้ภายในประเทศมีการส่งเสริมการศึกษาแบบผสมผสาน ที่ครอบคลุม และต่อสู้เพื่อสิทธิเด็กๆ ทุกคน เพราะภายใต้อนุสัญญาสิทธิเด็ก ระบุว่า ‘เมื่อเด็กอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐไหน ต้องได้รับการศึกษาของรัฐนั้น’
“ไม่ว่าจะเป็นเด็กชาติไหน เมื่ออยู่ในประเทศไทย หรืออยู่ตรงตะเข็บชายแดน แล้วเดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศเรา เรามีหน้าที่ที่ต้องช่วยกันดูแล เพราะพวกเขาเป็น ‘เด็กของโลก’ เช่นเดียวกันกับเด็กไทยที่ตามพ่อแม่ไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ พวกเขาก็ต้องได้รับการดูแลจากรัฐนั้นๆ เหมือนกัน”

อ.อรรถพล เปรียบว่า นี่คือการลงทุนร่วมกันของทุกประเทศทั่วโลกที่ว่า ไม่ว่าเด็กจะอยู่ในรัฐไหน เด็กจะได้รับการดูแลเสมอ และที่ผ่านมาตลอด 33 ปี ไทยปฏิบัติตามคำมั่นสัญญานี้ได้ดีเสมอมา
เช่นนี้เอง เมื่อสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐ เปิดประเด็นให้เกิดการเลือกปฏิบัติ ซึ่งกระทบต่อการทำงานของโรงเรียนต่างๆ ในประเทศไทย ที่ใช้เวลานานเป็นสิบปี สร้างความเข้าใจให้กับทุกคนว่า โรงเรียนจะไม่ปฏิเสธเด็ก ต่อให้เป็นเด็กไร้สัญชาติ ก็ยังสามารถเข้าเรียนได้ ถึงกลายเป็นเรื่องน่าตกใจ ตามความเห็นของ อ.อรรถพล
“เป็นเรื่องที่น่าตกใจว่า เรากำลังมาถึงจุดที่มีคนทักท้วง ให้เลือกปฏิบัติกับเด็กต่างชาติ เพียงเพราะว่าพวกเขาเป็นเด็กที่อยู่ในพื้นที่ ที่มีการขัดแย้งกัน ผมว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่น่าตกใจ ที่คนไทยควรตั้งสติแล้วคิด”
“พอความเกลียดชังบังตา ความสมเหตุสมผลก็หายหมด นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องชวนกันตั้งสติ”
[ ตั้งหลักความขัดแย้ง ‘เป็นเรื่องระหว่างรัฐ’ ]
สำหรับคนที่เห็นด้วยว่า ควรตัดงบการศึกษากับเด็กกัมพูชานั้น อ.อรรถพล แสดงความคิดเห็นว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้น แท้จริงเป็นเรื่องระหว่างรัฐ ซึ่งมีกองทัพเป็นหนึ่งในหน่วยงานแนวหน้า
“คนส่วนใหญ่ไม่อยากให้มีการรบกันเกิดขึ้น บางคนในพื้นที่ชายแดนเป็นเครือญาติกัน ไม่มีใครอยากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงสงคราม คนที่เชียร์ให้มีการเลือกปฏิบัติ ให้มีสงคราม กลายเป็นคนไกลพื้นที่”
นอกจากนี้ อ.อรรถพล ยังให้เห็นว่า การที่คนกัมพูชาจำนวนมาก เดินทางมาเป็นแรงงาน เป็นหนึ่งในแรงงานที่มาสร้างบ้านสร้างเมือง การดูแลลูกหลานของเขา ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรทำ
[ ไทยไม่ได้ขาดงบ แต่ขาดประสิทธิภาพในการใช้งบ]
“ประเทศไทยไม่ได้ขาดงบการศึกษา แต่เราขาดประสิทธิภาพในการใช้งบต่างหาก” ในฐานะผู้คนในแวดวงการศึกษา อ.อรรถพล ชี้ให้เห็นว่า เด็กไทยที่หลุดจากระบบการศึกษาไทย จำนวนมากเป็นผลกระทบจากปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความยากจน และอื่นๆ ซึ่งไม่ได้ตั้งต้นจากงบประมาณการศึกษาขาดแคลนโดยตรง หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง จึงต้องทำงานเต็มที่
“เด็กทุกคนไม่ควรถูกตีเส้นแบ่งด้วยความเป็นรัฐชาติ เพราะเด็กไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็คือ เด็กของโลก”
“ผมรู้สึกว่าตอนนี้ เหมือนทุกคนกระโจนลงไปในกระแสน้ำเชี่ยว ด้วยอารมณ์ความเกรี้ยวกราดของคน เหตุการณ์เพียงไม่กี่วัน พังทลายความสัมพันธ์อันดีที่ร่วมสร้างกันมานับสิบปี”
อ..อรรถพล ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยเองก็เคยให้ทุนการศึกษาโดยราชวงศ์ไทย สนับสนุนเด็กจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่พวกเขามาร่ำเรียนในไทย แล้วกลับไปเป็นกำลังสำคัญให้กับชาติบ้านเมือง แต่ตอนนี้กลายเป็นไทยกำลังเร้าความเกลียดชังให้เกิดขึ้น ทั้งที่พยายามปรองดอง สร้างไมตรีที่ดีกับเพื่อนบ้านมาโดยตลอด
“ความเกลียดชังสร้างง่าย แก้ไขยาก อย่าเป็นเชื้อฟืนในการสร้างความเกลียดชังให้กับสังคม”

นอกจากนี้ ในช่วงที่มีการโปรโมตเรื่องอาเซียน ผู้คนยอมรับในความลื่นไหลของชนชาติ สังคมไทยเองก็กำลังเดินหน้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ในวันข้างหน้าย่อมต้องอาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน
“คนใกล้ตัวเรา เรากลับมองเป็นศัตรูหมด ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจ มีคนบอกว่าการศึกษาของไทยล้มเหลว แต่ผมกลับมองเห็นด้านมืดที่น่ากลัวว่า นี่อาจจะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความสำเร็จของการศึกษาไทยที่ทำมา ทำให้คนไม่รู้ประวัติศาสตร์จริงๆ ไม่เท่าทันความเกลียดชัง และไม่รอบรู้เรื่องการเมือง”
อ.อรรถพล กล่าวว่า หากลองคิดว่าเป็นตัวเอง ที่มีความจำเป็นที่ต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ เราก็คาดหวังอยากให้ลูกๆ ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกับคนในชาตินั้นๆ
“เราจะเลือกปฏิบัติต่อเด็ก เพียงเพราะเป็นเด็กต่างชาติที่มีความขัดแย้งกับประเทศของเรา เด็กขาดโอกาสในการได้รับการศึกษา เมื่อพวกเขาโตเป็นวัยรุ่นในบ้านเรา เป็นคนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ พวกเขากลายเป็นแรงงานที่มีทักษะระดับล่าง เราก็จะสูญเสียพลเมืองของโลกที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไป ถ้าเราช่วยกันดูแล อย่างน้อยเราก็ช่วยให้เขายกระดับความเป็นอยู่ของครอบครัวของเขาได้”
“ถ้าข่าวนี้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษ ผมว่าคะแนนสิทธิมนุษยชนของบ้านเราถูกตั้งคำถามแน่ๆ ว่าปล่อยให้วุฒิสมาชิกแถลงออกมาแบบนี้ได้ยังไง”
[ ประวัติศาสตร์ สร้างความเกลียดชัง? ]
อ.อรรถพล เล่าให้เห็นภาพ ครั้งเป็นเด็กคำถามที่ว่า ‘พลเมืองคืออะไร?’ ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ ประสบการณ์และสังคมทำให้ผู้คนเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ว่าประกอบสร้างขึ้นมา เช่นที่ ประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นศาสตร์ของการสร้างความเกลียดชัง แต่มีเป้าหมายสร้างความเข้าใจในมิติเวลา
“ประวัติศาสตร์มีหน้าที่ให้คนก้าวข้ามความเกลียดชังเสียด้วยซ้ำ ถ้าเราต้องเกลียดชังกันด้วยประวัติศาสตร์ ก็แทบจะไม่เหลือประเทศไหนในโลกที่จะสามารถอยู่กันด้วยสันติได้”
โดยเฉพาะเมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นกับประเทศที่มีพรมแดนติดกัน อย่าง ไทย-กัมพูชา ซึ่งหากต้องเท้าความแล้ว ย่อมมีรากที่ยึดโยงกันอยู่ เป็นแว่นแคว้นเดียวกันตั้งแต่สมัยโบราณ ที่คนลื่นไหลหากัน ผลัดกันเป็นผู้นำในภูมิภาค จนวันหนึ่งมีการตีเส้นแบ่ง
“ปะทะกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง เป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์ แต่เราต้องไม่เลือกทางออกด้วยการใช้ความรุนแรง ทั้งความรุนแรงทางกายภาพ และความรุนแรงทางวัฒนธรรม คือความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติ ผู้ใหญ่มีหน้าที่ต้องเท่าทันความเกลียดชัง”

[ อย่าผลิตซ้ำความเกลียดชังลงไปในการศึกษา ]
“ผมว่าตอนนี้วิชาประวัติศาสตร์ และวิชาหน้าที่ของพลเมือง ที่สอนกันในโรงเรียน ควรทำหน้าที่ในการเตรียมพลเมืองที่มีหลายมิติ เป็นพลเมืองของท้องถิ่น ของชาติ ของภูมิภาค และของโลก นี่ไม่ใช่โลกในอุดมคติหรือฟุ้งฝัน แต่เป็นโลกที่ควรจะต้องเป็น”
อ.อรรถพล ยกตัวอย่าง กรณี ‘เขมรแดง’ เมื่อกระแสคอมมิวนิสต์รุนแรงมากขึ้น เกิดการแบ่งแยกขึ้น เพื่อนบ้านถูกปลุกเร้าความเกลียดชัง จนต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในชาติเดียวกัน
“เมื่อเขามาอยู่บ้านเรา เรามีความแข็งแรงของเศรษฐกิจเพียงพอจะเป็นที่พึ่งพิงได้ เราก็ต้องทำหน้าที่เป็นที่พึ่งพิงให้ มันไม่ใช่แค่เรื่องการให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่เรื่องของบุญคุณ เป็นการให้ความช่วยเหลือในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”
ครูส่งต่อความเกลียดชังสู่เด็ก? อ.อรรถพล ไม่ปฏิเสธข้อสันนิษฐานนี้ เพราะ เด็กๆ กำลังเรียนรู้ทั้งจากในห้องเรียน บ้าน และโลกออนไลน์ ทว่า อย่างน้อยในห้องเรียนไม่ควรส่งต่อความเกลียดชัง
อ.อรรถพล กล่าวว่า บทสนทนาในห้องเรียน ควรเป็นการเปิดกล่อง แล้วชวนกันมาเรียงลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ กันใหม่ “หน้าที่ของครู ก็ควรชวนเขาถอดรื้อความเข้าใจผิดๆ เหล่านั้นออกไป แล้ววางเข็มทิศกันใหม่ในการอยู่ร่วมกันในประชาคมโลก”
“นโยบายในการส่งเสริมการเรียนประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่ถ้าเราเน้นแต่ประวัติศาสตร์ไทยเป็นหลัก โดยไม่ตั้งคำถาม สอนประวัติศาสตร์เป็นเรื่องเล่า ไม่ได้สอนเป็นศาสตร์ อันตรายที่สุด เพราะมันจะกลายเป็นเรื่องเล่า ที่ทำให้คนไม่สามารถที่จะเท่าทันได้”
[ สอนประวัติศาสตร์ ให้เป็น “ศาสตร์” ที่ไม่ใช่ “เรื่องเล่า” ]
ตามที่เว็บไซต์ของการกระทรวงศึกษาธิการ เผยแพร่ไว้ว่า จะมีการนำวิชาประวัติศาสตร์ และหน้าที่ของพลเมือง เข้ามาเป็นวิชาสำคัญ หรือวิชาเอกในการใช้สอบวัดระดับ ม.1 และ ม.4 เพราะระบอบการปกครองของไทย ไม่เหมือนชาติอื่นในโลก ซึ่งเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้น
อ.อรรถพล ย้ำว่า ตามปกติแล้ววิชาประวัติศาสตร์ และหน้าที่ของพลเมือง ยังคงมีสอนอยู่ในหลักสูตรของเด็กไทยมาโดยตลอด ไม่เคยหายไปไหน
รวมถึงการสอบวัดระดับชั้น ม.1 และ ม.4 ก็มีสอบวิชาสังคมศึกษาที่รวมเอาสองเรื่องนี้เข้าไปด้วยอยู่แล้ว หากต้องการเพิ่มสัดส่วนให้มากกว่าวิชาอื่นๆ คำถามต่อมาคือ เด็กต้องสอบเพิ่ม จาก 5 วิชา เป็น 7 วิชา แล้วใครได้ประโยชน์จากเรื่องนี้บ้าง
“ในอดีตพยายามเอา ‘สังคมศึกษา’ออกจากการสอบ ONET ป.6 กับ ม.3 เพราะยิ่งจัดสอบ เด็กยิ่งท่องจำ สอนสังคมศึกษากันผิดๆ ไปสอนแบบท่องจำหมด เราใช้เวลา 7-8 ปี ในการดึงเอกวิชาสังคมศึกษา ออกจากการสอบ ONET ของ ป.6 และ ม.3 ได้ แต่ตอนนี้กำลังจะทำในสิ่งที่มันสวนทางกับพัฒนาการที่ผ่านมา”

นอกจากนี้ การสอนประวัติศาสตร์ ให้เป็น “ศาสตร์” ที่ไม่ใช่ “เรื่องเล่า” ก็เป็นประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ
“ถ้าประเทศหนึ่งไม่สามารถยอมรับประวัติศาสตร์ด้านมืดตัวเองได้ เด็กก็จะโตไม่ได้ ไม่สามารถมีวุฒิภาวะได้ ประเทศไทยเองจริง ๆ สอนประวัติศาสตร์กระแสหลัก โดยไปยึดโยงอยู่กับสถาบันหลักของชาติ จนเราละเลยความเป็นท้องถิ่นด้วยซ้ำ”
อ.อรรถพล มองว่า ประวัติศาสตร์ด้านมืดถูกพูดถึงน้อยมาก เช่น การต่อสู้เพื่อการเมืองอย่าง 14 ตุลา, 6 ตุลา, พฤษภาทมิฬ ทั้งที่เป็นประวัติศาสตร์ใกล้ตัว
“ในขณะที่เรากำลังพยายามทำให้ประวัติศาสตร์มีชีวิตมากขึ้นในท้องถิ่น รัฐส่วนกลางยิ่งต้องพยายามใช้ประวัติศาสตร์ ในการเป็นเครื่องมือในการฝึกการคิด อย่างมีวิจารณญาณให้กับเด็ก เพราะนี่คืออีกหนึ่งทักษะที่สำคัญสำหรับโลกอนาคต หมดยุคที่จะมาครอบงำกันด้วยเรื่องเล่า ต้องทำให้เรื่องเหล่านี้ ถกเถียงพูดคุยกันได้ในห้องเรียน”
“ความแตกต่าง และความหลากหลายไม่ใช่ปัญหา แต่ความคิดสุดโต่ง และการยอมให้ความรุนแรงเป็นทางออกต่างหากที่เป็นปัญหา ท่านสามารถคิดเห็นไม่เหมือนกันได้ในสังคมประชาธิปไตย และการพูดคุยถกเถียงกันเป็นเรื่องปกติ ช่วยกันสร้างชุดคุณค่าใหม่ให้กับสังคมไทยกันเถอะ…สังคมไทย เราสามารถอยู่ร่วมกัน ท่ามกลางความแตกต่างได้ด้วยการเคารพกัน” อ.อรรถพล กล่าวทิ้งท้าย










