“คำว่าสนามเด็กเล่น หรือ Playground ภาษาอังกฤษมันไม่ได้มีคำว่า ‘เด็ก’ อยู่ในนั้น ภาษาไทยกลับใช้คำว่า ‘สนามเด็กเล่น’ เราเลยเห็นภาพและจำกัดมันไว้แค่ว่าเป็นพื้นที่สำหรับเด็กเท่านั้น แต่ในโลกสมัยใหม่ Playground สามารถเป็นพื้นที่ของคนได้ทุกวัย”
ไม่ใช่แค่เพียงในฐานะ นักเขียน นักแปล และบรรณาธิการชื่อดัง ทว่า ด้วยบทบาท Chief Creative Director ของ OKMD สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หนุ่ม-โตมร ศุขปรีชา ยิ่งทำให้สิ่งที่เขากำลังสนใจ อย่าง การเรียนรู้ไปตลอดชีวิต หรือ lifelong learning สร้างความใคร่รู้ให้กับเรา
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แล้วท่ามกลางวิกฤตทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ทำไมการพัฒนาตนเองเพื่อเป็นประชากรที่มีคุณภาพในทุกช่วงวัย ถึงอาจเป็นปลายทางที่สดใสของการสร้างพื้นที่เรียนรู้ในไทย หาคำตอบไปพร้อมๆ กับสำนักข่าว TODAY ระหว่างการสนทนาครั้งนี้
เข้าใจว่า ทุกวันนี้คนเลือก ‘ดู’ มากกว่า ‘อ่าน’ ไปแล้ว จริงหรือไม่
วิธีเสพสื่อจากการมองและดู ผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ เป็นแบบ Passive (ผู้ถูกกระทำ) เรานั่งเฉย ๆ ให้ข้อมูลเข้ามาหาเราเอง มันเป็นวิธีที่เรารับความรู้ ความงาม ความจริง ในแบบที่เชิงวัฒนธรรม เราจะเรียกว่า ‘มุขปาฐะ’ คือไม่ได้อ่านเอง แต่มีคนมาพูดให้เราฟัง
เล่าย้อนว่า การให้ข้อมูลในลักษณะนี้ เกิดขึ้นในสังคมไทยมานานแล้ว เราไม่ใช่สังคมที่มีวัฒนธรรมการอ่านมาแต่ดั้งเดิม ในแง่ของการอ่านหนังสือ หรือสิ่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร เรามักถ่ายทอดความรู้ผ่านครู ทั้งครูเพลง เพลงพื้นบ้าน การเล่นสักวา ฉ่อย ลำตัด ดนตรี ขนาดการทำกับข้าว ก็ต้องไปเรียนรู้กับครูเป็นเวลานาน
ยกตัวอย่าง ครูสอนระนาด ที่ไม่ได้มาถึงก็สอนตีระนาดเลย แต่ให้เราไปตักน้ำทำความสะอาดพื้นก่อน ครูไม่ได้สอนเราแค่วิชา แต่สอนการเป็น ‘มนุษย์’ ให้เราด้วย
ในอดีตเราอาจมีต้นแบบของการเป็นมนุษย์จากครู พระ หมอ ซึ่งเป็นการให้ความรู้แบบ Passive ที่สอนให้ทำตามโดยไม่ได้ตั้งคำถามว่าทำไปทำไม ใช้วิธีสร้างความคุ้นเคย ใช้เวลามากและนานพอ ที่สุดท้ายผู้ถูกสอนจะทำได้เอง ร่างกายจำได้เองโดยไม่ต้องคิด เหมือนเป็นความจำของกล้ามเนื้อ หรือการที่มีคนเล่าหรือบอกเรามาเลย ทำให้สังคมไทยคุ้นชินกับการรับรู้ข้อมูล ความรู้ ความจริงต่างๆ ในรูปแบบนี้
ทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นประโยชน์ในแง่หนึ่งในบริบทสมัยก่อน แต่คนสมัยใหม่อาจจะไม่ได้ต้องการสิ่งนี้ เพราะต้นแบบไม่ได้มีอยู่แบบเดียวอีกต่อไป สมัยนี้สามารถเปิดยูทูบ เพื่อเรียนรู้จากคนทั่วโลกได้แล้ว ทั้งหลากเชื้อชาติ หลายเพศสภาพ เขาถึงต้องการให้ครูสอนแค่ในสิ่งที่อยากรู้ ไม่จำเป็นต้องสอนอย่างอื่น
แต่สังคมตะวันตก หรือแม้แต่จีน กลับเป็นสังคมที่เรียนรู้จากการอ่านสิ่งที่มีคนเขียนเอาไว้เป็นหลัก รับการถ่ายทอดความรู้ในรูปแบบของ Active (ผู้กระทำเอง) เช่น การคัดลอกพระคัมภีร์ เพราะระหว่างการคัดลอกที่เริ่มการอ่าน ยังมีการอ่านระหว่างบรรทัดที่ไม่ได้เขียนอยู่ในนั้นด้วย คือการอ่านแล้วต้องตีความ ถอดรหัสในสิ่งเหล่านั้น
แล้วผลลัพธ์ต่างออกไปอย่างไร
อธิบายก่อนว่า การอ่านก็มีหลายระดับ การอ่านที่ทำให้เราหลงใหลในตัวอักษร เช่น การอ่าน fiction (เรื่องแต่ง) มีงานวิจัยบอกว่าหากในช่วงวัยรุ่นได้อ่าน fiction หลากหลายแนว มีความเป็นไปได้สูงว่าโตขึ้นมา คนคนนั้นจะมีความเห็นอกเห็นใจมากกว่าคนอื่น ฉลาดในการเข้าใจคนอื่นได้มากกว่า เพราะเคยได้ทดลองเป็นตัวละครในเรื่องราวต่างๆ ที่เคยอ่านผ่านการจินตนาการมาแล้ว
อีกระดับหนึ่ง คือการอ่านแล้วเถียงกับคนเขียน ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย จนเกิดเป็นบทสนทนาระหว่างกัน ทั้งจากการอ่าน fiction และ non-fiction (เรื่องหรือข้อมูลที่เป็นความจริง) นอกจากจะโต้แย้งเรื่องข้อเท็จจริงเชิงทฤษฎีแล้ว ยังรวมถึงการใช้ภาษา หรือความเป็นเหตุเป็นผลในการเล่าเรื่อง ที่ทำให้โต้แย้งกันได้
ส่วนระดับการอ่านอีกแบบคือ หลังจากอ่านแล้วได้หลงใหล และโต้เถียงกันแล้ว การอ่านยังทำให้ผู้อ่านได้เห็นตัวเอง เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดเป็นเมล็ดพันธุ์บางอย่างที่ก่อกำเนิดความคิดใหม่ๆ ชุดความคิดงอกออกมา เมื่อชีวิตเราตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่าง
เช่น เราเคยอ่านเรื่องแผ่นดินไหว เมื่อเกิดขึ้นมาจริงๆ เราก็อาจจะตอบสนองได้ในทันที ซึ่งถ้าไม่ได้ฝึกการเรียนรู้แบบ Active หรืออ่านจนมากพอ ก็อาจไม่เกิดกระบวนการเหล่านี้ ที่ทำให้เราตกตะกอนชุดความคิดใหม่ๆ
ยิ่งกว่านั้น การอ่านแบบ Active เราจำเป็นต้องเห็นไปถึงโครงสร้างที่อยู่ในภาษา ซึ่งไม่ได้ปรากฏออกมาเป็นคำจริงๆ แต่เป็นข้อมูล และเรื่องราวที่มันซ่อนอยู่ อาศัยการตีความหลังจากการอ่านด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ การอ่านไม่ได้หมายถึงหนังสือเพียงอย่างเดียว เราสามารถอ่าน ‘สถานที่’ และสิ่งต่างๆ ได้ เหมือนกับที่เราไปเที่ยว แล้วตั้งคำถามกับสถานที่นั้นๆ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร เช่น ประสบการณ์เพื่อนต่างชาติมาเมืองไทย แล้วนั่งรถผ่าน Victory Monument (อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) เพื่อนถามว่า Victory อะไร ประเทศไทยชนะใครมา เป็นการเรียนรู้จากการตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวนั่นเอง

การสร้างพื้นที่การเรียนรู้ในอนาคต จำเป็นต้องมุ่งไปที่รูปแบบ Active
อาจจะเริ่มจากการเรียนรู้แบบ Passive ก่อน เพื่อที่จะดึงคนเข้ามา และช่วยสำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับการเรียนรู้ ด้วยการอ่านตั้งแต่ต้น เมื่อปรับตัวได้หรือดึงความสนใจได้แล้ว ค่อยเสริมด้วยการเรียนรู้แบบ Active ต่อไป
คิดอย่างไร กับคำพูดที่ว่า “คนที่ ‘พร้อม’ เท่านั้น ถึงจะเข้าถึงการเรียนรู้นอกเวลา”
ถ้าความพร้อมที่ว่าคือ ‘เงิน’ ทอดตาไปทั่วทั้งแผ่นดินไทย ในต่างจังหวัดอาจจะยังขาดแคลนสาธารณูปโภคทางปัญญาอยู่บ้าง (หนังสือ) แต่หากเป็นกรุงเทพฯ เรามีห้องสมุดมากกว่า 30 แห่ง กระจายตัวอยู่ในหลายเขต
หากจะบอกว่าคุณไม่มีเงินซื้อหนังสือ คุณสามารถเดินเข้าห้องสมุดได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าฟรี แต่หากจะยืมหนังสืออาจมีค่าสมัครสมาชิกเพียงปีละ 50 บาทเท่านั้น
นอกจากห้องสมุดของ กทม. และสถานศึกษา เรายังมีห้องสมุดของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (ชื่อเดิม คือ กศน.) ที่เป็นห้องสมุดประชาชน มีแทบจะทุกตำบล แต่บางที่อาจจะเล็ก จนถูกจัดไว้มุมนึงของพื้นที่สำนักงาน หลายคนเลยไม่กล้าเข้าไปใช้บริการ แต่จริงๆ เป็นสิ่งที่ภาครัฐให้บริการประชาชนอยู่แล้ว
เอาเข้าจริงยังมีหอสมุดแห่งชาติ ที่มีอยู่ราว 14 แห่งทั่วประเทศ เป็นหอสมุดใหญ่ที่จะมีหนังสือแทบทุกเล่มในประเทศไทยอยู่ที่นั่น รวมถึง TK Park ที่ก็เป็นอีกหนึ่งห้องสมุด ที่เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้สำคัญของชาวกรุงเทพฯ เช่นกัน
ทดแทนข้อด้อยของห้องสมุดในต่างจังหวัด ที่อาจจะไม่ได้มีหนังสือใหม่ๆ เยอะนัก แต่ข้อต่างคือจะมีหนังสือท้องถิ่นที่เป็นของตัวเอง เช่น ห้องสมุดที่นครพนม นอกจากสถาปัตยกรรมจะสวยแล้ว ยังมีหนังสือใบลานเก่าๆ ที่จัดแสดงเอาไว้ และมีการปริวรรต (แปลงข้อมูล) ออกมาเป็นข้อความสมัยใหม่ ที่เราอ่านได้ง่ายๆ ห้องสมุดจึงไม่ใช่แค่สถานที่ที่เข้าไปอ่านหนังสือเฉยๆ แต่ยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านสิ่งที่เราเห็นด้วย
มาตรฐานของพื้นที่เรียนรู้จะอยู่ตรงไหน ถ้ายังต้องพึ่งพิง ‘การให้คุณค่า’ ของแต่ละท้องถิ่น
คงต้องพูดไปถึงเรื่องการของบประมาณจากภาครัฐ ในประเทศไทยเรามี ‘วิธีการงบประมาณ’ อยู่แบบเดียว คือทุกคนต้องทำเป็นโครงการ แล้วของบประมาณยื่นไปล่วงหน้า ทางสภาฯ และสำนักงบประมาณต่างๆ ก็จะทำเรื่องพิจารณาว่า ใครควรได้อะไรไปเท่าไร ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลายาวนานเป็นปี
ทั้งที่การเรียนรู้ มันมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เช่น ราว 2 ปีก่อน Metaverse อาจกำลังมา เราก็ยื่นเรื่องของบไป แต่สุดท้ายผ่านมาปีกว่าๆ กว่าเลิกพูดถึง กลับเป็นเทรนด์ของ AI มาแรงกว่า ซึ่งกว่าจะของบเพื่อเสริมสร้างความรู้เรื่อง AI ได้ ก็ต้องใช้เวลาอีกเป็นปีๆ
ส่วนตัวจึงคิดว่า หัวใจหลักในการสร้างสังคมเรียนรู้ในไทยโดยภาครัฐ ควรให้ความสำคัญกับวิธีงบประมาณ อดีตวิธีนี้อาจเหมาะเพราะทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนเร็ว แต่สถานการณ์เปลี่ยน เมื่อเจอกระบวนการที่ล่าช้า คนทำงานก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่ทันใจ หรือทำไม่ได้จริง
หากเรามีวิธีงบประมาณที่สามารถจัดสรรเงินได้เร็วขึ้น หรือมีขั้นตอนที่หลากหลายขึ้น ให้สามารถเอาเงินมาใช้ได้ง่ายขึ้น โดยยังมีความโปร่งใส ไม่มีการคอร์รัปชันเกิดขึ้นด้วย คงเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับคนที่ตั้งใจสร้างการเปลี่ยนแปลง

เริ่มมองเห็น การพัฒนาของระบบการศึกษานอกห้องเรียน?
เพราะไม่ได้เป็นเรื่องของการศึกษา ‘ในระบบ’ อย่างเดียว แต่คนเริ่มมองเห็นแล้วว่า การศึกษานอกระบบ หรือการศึกษาตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ทำให้การเรียนรู้ขยายกลุ่มอายุกว้างขึ้น ไปถึง Young Old (YOLD) หรือวัยสูงอายุที่ยังแข็งแรงอยู่ พวกเขาก็ต้องการพื้นที่เรียนรู้ใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่าง OKMD มีสนามเด็กเล่นมานานแล้ว สร้างโดยใช้หลัก BBL หรือ Brain Based Learning แต่จริง ๆ แล้วคำว่าสนามเด็กเล่น หรือ Playground ในภาษาอังกฤษ มันไม่ได้มีคำว่า ‘เด็ก’ อยู่ในนั้น ภาษาไทยกลับใช้คำว่า ‘สนามเด็กเล่น’
เราเลยเห็นภาพ และจำกัดมันไว้ แค่ว่าเป็นพื้นที่สำหรับเด็กเท่านั้น แต่ในโลกสมัยใหม่ Playground สามารถเป็นพื้นที่ของคนได้ทุกวัย ยิ่งคนสูงวัยอาจจะยิ่งต้องการพื้นที่ลักษณะนี้ เพื่อกระตุ้นการทำงานของประสาทสัมผัสต่างๆ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง
อีกอย่างคนกลุ่มนี้มีทั้งเวลา และร่างกายยังแข็งแรง กลายเป็นพื้นที่ให้ทุกคนพบปะสังสรรค์กัน หรือหากมีเด็กด้วย ก็จะเป็นพื้นที่สำหรับคนหลายเจเนอเรชัน ทาง OKMD จึงกำลังอยู่ในช่วงของการออกแบบ Playground ที่เหมาะสมกับคนทุกช่วงวัย ว่าควรจะเป็นอย่างไร
แถมทาง OKMD เอง ก็กำลังจะทำศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ (OKMD National Knowledge Center) บริเวณ ถ.ราชดำเนิน โดยมีจุดหมายอยากให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการเรียนรู้ในหลายๆ เรื่อง
เริ่มตั้งแต่ห้องสมุด TK Park ที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่ มี Library of Things ที่ไม่ได้ให้ยืมแค่หนังสือ แต่ให้ยืมของไปใช้ได้ด้วย เช่น บอร์ดเกม เครื่องดนตรี รวมถึงมีห้องแล็บต่างๆ พร้อมกับพื้นที่ให้ปล่อยของ ให้สามารถจัดแสดงผลงานของตัวเอง
ข้อดีอีกอย่างคือ จัดตั้งอยู่ในพื้นที่ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่เรียนรู้สำคัญๆ ของกรุงเทพฯ อาจเรียกได้ว่าเป็น Knowledge Quarter เหมือนที่มีในลอนดอน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2571
การเปลี่ยนแปลงทุกมิติ ทั้งโซเชียลมีเดีย โรคระบาด ไลฟ์สไตล์ ฯลฯ ท้าทายของคนรุ่นใหม่ แล้วพวกเขาจะอยู่รอด ไปพร้อมพัฒนาตัวเองได้ยังไง
คำถามนี้น่าคิด คนในยุคปัจจุบันอาจรู้สึกท้อกับการมีชีวิตอยู่ จนไม่สามารถคิดถึงเรื่องที่ใหญ่ไปกว่าตัวเองได้ แค่คิดว่าทำยังไงฉันถึงจะรอด ทำยังไงฉันถึงจะรวย แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นที่มา เราอาจจะไม่มีแรงลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงหรือสู้กับมัน เพราะมองไม่เห็นปลายทาง
เราถึงต้องกลับมาคิดว่า ถูกต้องหรือไม่ ที่เราผลักให้คนรุ่นใหม่ต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง ขณะที่คนตรงกลางอาจจะสู้ในแบบที่คิดว่า เอาตัวเองรอดก็พอ ก็เลยอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร
ดังนั้น สิ่งที่อยากแชร์กับคนรุ่นใหม่คือ ต้องฝึกตัวเองให้เป็น Active Learner หรือคนที่เรียนรู้ด้วยวิธีการอ่าน หรือค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตัวเอง และอาจลองวางเป้าหมายที่ไม่ใช่เงินตั้งแต่วันแรก ลองมองว่าสิ่งที่มาพร้อมกับเงินนั้น ช่วยให้เราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมหรือไม่
ที่ต้องพูดแบบนี้ เพราะสิ่งรอบข้างเหล่านั้น อาจจะให้ผลตอบแทนเรากลับมาในภายหลังได้ ไม่ได้หายหรือสูญเปล่า แต่ถ้าเราทำเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว วันใดที่เราพลาด เราอาจจะไม่เหลืออะไรเลย
ทั้งดีและแย่ คนรุ่นใหม่เกิดมาในยุคที่ถูกคาดหวังว่า ควรทำได้ทุกอย่าง อย่างละนิดอย่างหน่อยก็ได้ จนไม่ได้พัฒนาความสามารถด้านใดด้านหนึ่ง จนเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง อาจถูกเรียกว่าเป็นความฉลาดของมนุษย์ในแบบลื่นไหล (Fluid intelligence) ที่ในสังคมปัจจุบันมองว่าคือ ความสามารถอันหลากหลาย ทำได้ทุกอย่าง
แต่ความสามารถแบบนี้ มันจะแสดงผลได้เต็มที่ แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ไม่เหมือนกับความฉลาดของมนุษย์แบบตกผลึก (Crystallized Intelligence) ความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง เป็นความสามารถที่จะติดอยู่กับเราไปจนถึงวัยชรา
ยังไม่พอ การมาของ AI อาจทำให้หลายคนพึ่งพา AI ในการทำงานมากเกินไป โดยที่กระบวนการคิดและวิเคราะห์ด้วยตัวเราเองไม่ได้ถูกนำมาใช้ ที่เราเรียกว่า Cognitive Offload คือการโยนหน้าที่ในการคิดไปให้ AI ทำทั้งหมด
พอเข้าสู่ช่วงวัยชรา ด้วยวัยที่สมองเริ่มมีการเสื่อมถอยในการทำงาน เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ช้าลง ในวัยนั้นเราอาจไม่เหลือความสามารถอะไรที่ชัดเจนหลงเหลืออยู่เลย สิ่งที่เคยทำได้อย่างละนิดละหน่อย อาจจะทำไม่ได้อีกแล้ว หากสังคมเต็มไปด้วยคนชราที่ไม่เหลือความฉลาดทั้งแบบลื่นไหลและตกผลึก สังคมไทยในตอนนั้นจะเป็นอย่างไร










