
เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ระบุ กว่า 30 ปี ดวงอาทิตย์ไม่ได้มีขนาดหรือปริมาณเพิ่มขึ้น ชี้ไม่ใช่ต้นเหตุทำโลกร้อน สาเหตุหลักเกิดจากก๊าซเรือนกระจก เตือนชาวโลกเตรียมรับมืออุณหภูมิที่จะเพิ่มขึ้น 3-5 องศาเซสเซียส
นาย Petteri Taalas เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก กล่าวในโอกาส “วันอุตุนิยมวิทยาโลก 23 มีนาคม 2562” โดยสรุปว่า ผลการตรวจวัดจากดาวเทียมที่ได้บันทึกต่อเนื่องกันมามากกว่า 30 ปี จนถึงปัจจุบันพบว่า พลังงานที่ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยออกมาไม่ได้มีขนาดหรือปริมาณเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด นั่นก็หมายความว่าภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ไม่ได้มีสาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปลดปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์
การสูงขึ้นของอุณหภูมิบนโลกมีผลทำให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย และอุณหภูมิของน้ำทะเลมีค่าสูงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเกิดก๊าซเรือนกระจกชนิดที่สามารถดำรงอยู่อย่างยาวนานในชั้นบรรยากาศอย่างเช่น คาร์บอนไดออกไซด์ โดยความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศวัดได้ถึง 405.5 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ในปี ค.ศ. 2517 (พ.ศ. 2560) และยังคงมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) เป็นต้นมา ผลรวมจากการดูดซับและการสะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์ของโลกและชั้นบรรยากาศ หรือการเกิดปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อนที่มีผลมาจากจากก๊าซเรือนกระจก ได้มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 41 โดยสาเหตุหลักนั้นเป็นผลมาจากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงร้อยละ 82 ของปริมาณที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดในทศวรรษที่ผ่านมา
ถ้าแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นของปริมาณก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นเช่นนี้ เราอาจจะต้องเผชิญกับสภาพที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกมีค่าเพิ่มขึ้นอีก 3 ถึง 5 องศาเซลเซียสในปลายศตวรรษที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นค่าที่สูงเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในข้อตกลงปารีส ตามกรอบอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งข้อตกลงปารีสได้กำหนดเป้าหมายอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้นไว้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส และพยายามให้ใกล้เคียง 1.5 องศาเซลเซียสให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นอกจากนี้ภาวะโลกร้อนยังก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในด้านต่างๆ เช่น สาธารณสุข การดำรงชีวิต ความมั่นคงทางด้านอาหาร แหล่งน้ำ ความปลอดภัยของมนุษย์ และการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ
ที่มา : กรมอุตุนิยมวิทยา









