โลกรวนไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือบททดสอบศีลธรรม: ศาสนา–รัฐ–เยาวชน ผนึกพลังศรัทธา สู้ ‘โลกรวน’ สู่ ‘โลกรอด’

โลกรวนไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือบททดสอบศีลธรรม: ศาสนา–รัฐ–เยาวชน ผนึกพลังศรัทธา สู้ ‘โลกรวน’ สู่ ‘โลกรอด’

ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ขยายวงกว้างจากภัยธรรมชาติสู่ความไม่มั่นคงของมนุษย์ เสียงจาก ‘ศาสนา’ ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกจำกัดอยู่ในเขตวัด โบสถ์ หรือมัสยิด กำลังถูกเชื่อมโยงกลับเข้ามาในบทสนทนาระดับโลกอีกครั้ง

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ผู้นำศาสนาทั้ง 5 ศาสนา ได้แก่ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู และซิกข์ พร้อมด้วยภาครัฐ ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และเยาวชนคนรุ่นใหม่ ได้รวมตัวกันในงาน ‘เปิดพื้นที่ใหม่ สู้ “โลกรวน” ให้ “โลกรอด” : ศาสนา นโยบาย และคนรุ่นใหม่ From BKKCAW25 to COP30’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Bangkok Climate Action Week (BKKCAW) เพื่อประกาศเจตนารมณ์ร่วม “ผนึกพลังศาสนา วัฒนธรรม และนโยบาย ต่อสู้กับโลกรวน” ก่อนที่การประชุม COP30 จะจัดขึ้นที่เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล ในเดือนพฤศจิกายนนี้

พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ และประธานมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ ซึ่งเป็นผู้จัดงานนี้ร่วมกับ The International Dialogue Centre – KAICIID พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายศาสนา ภาครัฐ และเยาวชน กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานว่า “วิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ใช่ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นปัญหาทางจริยธรรมและศีลธรรมของมนุษย์ด้วย”

พระมหานภันต์ระบุว่า โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งไม่ควรถูกมองว่าเป็นความแตกต่างที่แบ่งแยก แต่คือ ‘ทุนทางจิตวิญญาณ’ ที่สามารถหล่อเลี้ยงสังคม และเป็นพลังสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลก หากทุกศาสนามองเห็นคุณค่าร่วมกัน

“การประชุมในวันนี้ไม่ใช่เพียงเวทีเสวนา หากแต่คือการประกาศเจตนารมณ์ร่วมของผู้นำศาสนา ภาคนโยบาย และเยาวชน ว่าเราจะเดินไปด้วยกัน ใช้ศรัทธาและวัฒนธรรมรับมือโลกรวนอย่างครอบคลุม มีจริยธรรม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

คำกล่าวของพระมหานภันต์สะท้อนเจตจำนงที่ชัดเจนของเวทีนี้ ที่ต้องการยกระดับบทบาทของศาสนา จากพื้นที่ของความเชื่อ สู่พื้นที่ของการลงมือทำ เพื่อเปลี่ยน ‘โลกรวน’ ให้กลับมาเป็น ‘โลกรอด’ อีกครั้ง

ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ โลกรวนก็เช่นกัน

หนึ่งในเสียงสำคัญของเวทีนี้ คือปาฐกถาพิเศษของ พระพรหมสิทธิ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ในหัวข้อ ‘สู้โลกรวนให้โลกรอด ด้วยวัฒนธรรมและคำสอนจากศาสนาพุทธ’ ซึ่งพระปัญญาวชิราภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ เป็นผู้แทนอ่านปาฐกถาพิเศษดังกล่าว

เนื้อหาในปาฐกถาระบุว่า “โลกของเรากำลังเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ ความแปรปรวนของฤดูกาล หรือการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นปัญหาทางวิทยาศาสตร์ แต่คือปัญหาทางจริยธรรมและวัฒนธรรมของมนุษย์”

พร้อมให้คำอธิบายว่า พระพุทธศาสนาวางแนวทางไว้อย่างชัดเจนผ่านหลักธรรมหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น มัชฌิมาปฏิปทา ที่สอนให้รู้จักทางสายกลาง อหิงสา ที่ลดการเบียดเบียนสิ่งมีชีวิต หรือ เมตตากรุณา ที่ปลูกฝังความห่วงใยต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ

“ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ โลกรวนก็เช่นเดียวกัน เกิดจากเหตุแห่งความโลภ ความประมาท และการใช้ทรัพยากรเกินพอดี หากเราปรารถนาให้โลกนี้รอด เราจำเป็นต้องแก้ที่เหตุ ด้วยการปรับที่ใจของเราเอง”

ในช่วงท้ายของปาฐกถาย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อมนุษย์กลับมามีสติและสำรวมในการใช้ทรัพยากร เพราะ โลกนี้ย่อมถูกชักนำไปด้วยจิต หากจิตเปลี่ยน โลกก็จะเปลี่ยนตาม “ศาสนสถานควรเป็นที่พึ่งทางใจ และในเวลาเดียวกันก็เป็นพลังในการปกป้องโลกใบนี้”

ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งบนบกและในน้ำ เกิดจากน้ำมือของมนุษย์

คุณประสาน ศรีเจริญ ประธานสภาผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี กล่าวในนามผู้นำศาสนาอิสลามว่า พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้เตือนชัดเจนถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นบนโลก ว่าเกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง ซึ่งหมายถึงมนุษย์ทุกคน มิใช่จำกัดเพียงศาสนาใดศาสนาหนึ่ง

คุณประสานกล่าวว่า ศาสนาอิสลามสอนเรื่อง ‘อัลวะซะฏียะฮ์’ หรือความพอดี ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการรักษาสมดุลของโลกและจิตใจ “เมื่อใดที่มนุษย์ละทิ้งความพอดี โลกย่อมได้รับผลกระทบ เราจึงต้องกลับมาสู่สมดุลนั้นด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบร่วมกัน”

เขาย้ำว่า การต่อสู้กับโลกรวนไม่ใช่เพียงการลดคาร์บอน แต่คือการ “ลดความประมาทในใจมนุษย์” เพื่อให้ศรัทธาเป็นพลังในการฟื้นฟูโลกใบนี้

การทำลายสิ่งแวดล้อม คือการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

อาร์ชบิชอป ฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์ ประธานสภาพระสังฆราชแห่งประเทศไทย กล่าวว่า วิกฤตสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันคือ “บททดสอบศีลธรรมของมนุษย์”

“ผู้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคือผู้ยากจนและผู้เปราะบางในสังคม การทำลายสิ่งแวดล้อมคือการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”

พระคุณเจ้ากล่าวว่า การดูแลสิ่งแวดล้อมจึงเป็นทั้ง “ภารกิจทางศีลธรรมและจิตวิญญาณ” ตามสมณสาส์น Laudato Si’ ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ที่เรียกร้องให้มนุษย์ปกป้องโลกในฐานะ “บ้านที่เราอยู่อาศัยร่วมกัน”

มนุษย์เมื่อไม่มีหลักธรรม ก็กลายเป็นนักทำลายแทนที่จะเป็นผู้ดูแล

ศาสนาจารย์คำสิงห์ รวมวงค์ ผู้แทนกรรมการประสานงานคริสตจักรโปรเตสแตนท์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาโลกรวนคือผลสะท้อนจากจิตใจมนุษย์ที่ขาดหลักธรรม 

“มนุษย์เมื่อไม่มีหลักธรรม ก็กลายเป็นนักทำลายตัวเอง เรียกหาความเด่น แต่ตัวเองกลับสร้างความพังพินาศให้โลก”

ศาสนาจารย์คำสิงห์กล่าวว่า พระคัมภีร์สอนให้มนุษย์เป็น ‘ผู้ดูแลโลก’ (Steward of the Earth) ไม่ใช่ผู้ครอบครอง และความรับผิดชอบนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก เมตตา และการเสียสละ

“เมื่อมนุษย์ละเลยหน้าที่ที่พระเจ้ามอบหมาย โลกจึงรวนจากมือเราเอง หน้าที่ของเราคือกลับมาดูแลและเยียวยาโลกนี้ด้วยกันอีกครั้ง”

ศาสนาจารย์คำสิงห์ยังย้ำว่า แนวทางสำคัญคือ ‘การลงมือทำ’ โดยให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้จากแบบอย่างจริงในชีวิตประจำวัน เช่นกิจกรรมของเยาวชนคริสตจักรทั่วประเทศ ที่ปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการทำความดี ดูแลชุมชน ปลูกต้นไม้ และรักษาศาสนสถานให้ร่มเย็น

ธรรมะอยู่ในทุกสิ่ง แม้ในต้นไม้ใบหญ้า

พระครูเทพาจารย์ (ตรัณ บุรณศิริ) ผู้แทนศาสนาพราหมณ์–ฮินดู กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและธรรมชาติว่า ความเชื่อ ความรู้ และความศรัทธา ต้องเดินไปด้วยกัน หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โลกย่อมสูญเสียสมดุล

“เราพูดกันมากเรื่องศรัทธา แต่ลืมความรู้ที่แท้จริงของศาสนา ความเชื่อที่ปราศจากปัญญาย่อมนำไปสู่ความหลง และความหลงก็นำไปสู่การทำลาย”

พระครูเทพาจารย์อธิบายว่า ในคัมภีร์พราหมณ์–ฮินดู ธรรมชาติไม่เคยถูกมองว่าแยกจากชีวิตมนุษย์  ต้นไม้ ภูเขา ลม และน้ำ ล้วนเป็นที่สถิตของเทพเจ้า และเป็น “รูปธรรมของธรรมะ” ที่ควรได้รับการเคารพ

“ต้นไทรคือตัวแทนพระศิวะ ต้นโพธิคือตัวแทนพระนารายณ์ การดูแลต้นไม้จึงไม่ใช่เพียงปลูกป่า แต่คือการรักษาธรรมะในใจมนุษย์”

ท่านฝากถึงเยาวชนรุ่นใหม่ว่า ความเข้าใจในศาสนาอย่างมีสติจะช่วยให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล “จุดธูปกี่ดอกไม่สำคัญเท่ากับจิตที่เราจุด หากใจเรามีธรรมะ โลกก็จะสงบ”

อยู่เรียบง่าย เคารพธรรมชาติ และลงมือทำ

ปิดท้ายเวทีด้วยเสียงจากศาสนาซิกข์ ดร.กิตติพันธ์ ใจดี ผู้แทนศาสนาซิกข์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงบทบาทของศรัทธาในยุคที่มนุษย์กำลังเผชิญแรงกดดันจากระบบเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

“มนุษย์คือผู้สร้างปัญหา และมนุษย์เองก็ต้องเป็นผู้แก้ไข”

ท่านกล่าวว่า วิกฤตโลกรวนส่วนใหญ่เกิดจากระบบทุนนิยมที่ผลักให้มนุษย์แข่งขันและบริโภคเกินพอดี จนสูญเสียความเคารพต่อธรรมชาติและต่อกันเอง “ระบบที่เน้นกำไรสูงสุด ทำลายทุกอย่าง แม้แต่หัวใจของมนุษย์เอง”

ศาสนาซิกข์จึงสอนให้ดำรงชีวิตอย่าง เรียบง่าย และ มีจิตสำนึกร่วม โดยยึดหลักการเคารพผู้อื่น เคารพสิ่งแวดล้อม และแบ่งปันโดยไม่ยึดติด

“เรารู้หมดว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่สุดท้ายเรากลับแพ้ภัยตัวเอง ถ้าเราเริ่มจากมือเดียว มือสอง มือสาม รวมกันเป็นหมื่นมือ สิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้ ก็จะกลายเป็นพลังที่เปลี่ยนโลกได้จริง”

ดร.กิตติพันธ์ย้ำว่า การปกป้องโลกไม่อาจเกิดขึ้นจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องอาศัยศรัทธาร่วมของทุกศาสนา ทุกคน และทุกเจเนอเรชัน “วันนี้เราไม่ใช่พุทธ คริสต์ อิสลาม หรือซิกข์ แต่เราคือมนุษย์คนหนึ่งที่อยากเห็นโลกใบนี้อยู่รอดไปพร้อมกัน”

5 ศาสนาร่วมประกาศเจตนารมณ์แห่งศรัทธา 

เวทีนี้ปิดฉากลงด้วย ‘คำประกาศเจตนารมณ์ร่วม’ ของผู้นำศาสนาทั้ง 5 ศาสนา ซึ่งยืนเคียงกันบนเวทีเดียวเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เพื่อส่งสัญญาณจากประเทศไทยสู่เวทีโลก

“เราขอสัญญาว่าจะร่วมมือกัน ด้วยพลังแห่งศรัทธา จิตวิญญาณ และวัฒนธรรม เพื่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ด้วยคุณธรรม ความรู้ และความร่วมมือของมนุษยชาติ”

สาระสำคัญของคำประกาศนี้ ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำเชิงสัญลักษณ์ แต่คือการยืนยันว่า ศาสนา จะไม่ยืนอยู่ข้างนอกวงสนทนาเรื่องโลกร้อนอีกต่อไป หากจะเป็นพลังร่วมที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับนโยบาย ภาคประชาสังคม และเยาวชน เพื่อให้โลกนี้ยังคงเป็นบ้านของมนุษย์และสรรพชีวิตทุกชนิด

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง