เสียงที่ควรฟังมากที่สุดคือ ความต้องการของตัวเอง

เสียงที่ควรฟังมากที่สุดคือ ความต้องการของตัวเอง

AIM HOUR

ว่ากันว่าแม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก

ครั้งหนึ่งก็ต้องเคยมองไปที่กระจก 

แล้วตั้งคำถามกับคนในเงาสะท้อนนั้นว่า 

“นี่เราดีพอหรือยัง ที่จะมีที่ยืนบนโลกใบนี้?”

เชื่อว่าหลายๆ คนที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ ไม่ว่าคุณจะเป็นคน Generation ไหนก็ต้อง ต้องเคยเผชิญกับภาวะเคว้งคว้างในชีวิต จะถอยก็ไม่ได้ แต่จะให้ไปต่อก็ไม่รู้จะเดินไปทางไหน คำถามต่อมาก็คือ แล้วต้องทำยังไงล่ะ?

Niamh Shaw นักเขียนและนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ชาวไอริส เป็นคนหนึ่งที่เผชิญกับภาวะหลงทางในชีวิต และต้องใช้เวลานานกว่า 40 ปี กว่าจะตามหาเส้นทางของตัวเองจนเจอ เธอเล่าในรายการ AIM HOUR เธอใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในหมวกที่มันไม่เคยพอดีกับตัวเองเลย แต่สุดท้าย Niamh ก็ตามหาหมวกใบที่ใช่จนเจอ และเธอทำมันสำเร็จด้วยกัน ‘อยู่เงียบๆ และฟังเสียงตัวเอง’

“มันไม่เป็นไรเลยที่จะหลงทาง”

Niamh ได้พูดถึงหนึ่งในภาวะ “Imposter Syndrome” ซึ่งเป็นภาวะไม่มั่นใจในตัวเอง คิดตัวเองไม่เก่ง ไม่ดีพอ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบกันมาก โดยเฉพาะกับคนที่ต้องเผชิญกับภาวะเปลี่ยนแปลงใหญ่ เช่น ต้องออกมาจากโลกแห่งการเรียน และเริ่มต้นในชีวิตใหม่ในโลกแห่งการทำงาน หรือการเปลี่ยนอาชีพ หลังจากที่อยู่ในเซฟโซนมาเป็นเวลานาน

Niamh มองว่า แน่นอน… การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบนี้มันต้องทำให้เราเคว้งคว้างหรือไม่มั่นใจบ้างอยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตในระบบที่เราคุ้นเคย เรียนจบมัธยมก็ขึ้นมหา’ลัย อยากได้เกรดดีๆ ก็ต้องอ่านหนังสือ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันไม่มีสูตรสำเร็จ เราไม่ได้สามารถวางแผนอะไรได้ 100% 

จงระลึกไว้ว่าชีวิตจะบังคับให้คุณต้องตัดสินใจตลอดเวลา ตัดสินใจว่าจะทำงานอะไร ตัดสินใจว่าจะทำงานที่ไหน และทุกการตัดสินใจไม่มีอะไรรับประกันว่านี่คือการเลือกที่ถูกต้องที่สุด เพราะ ‘ถูกต้องที่สุด’ อาจจะไม่เคยมีอยู่จริงเลยด้วยซ้ำ รถทุกขบวนที่คุณเลือกขึ้นมันย่อมพาคุณไปจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกัน 

แต่ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้ว รถขบวนที่คุณเลือกมันจะไปจอดที่ตรงไหน จงบอกตัวเองว่านี่คือการตัดสินใจที่ ‘ดีที่สุด’ ของคุณ จุดหมายปลายทางของคุณอาจแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ นั่นก็ไม่เป็นไรเลย เพราะนี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเส้นทาง ชีวิตจะให้โอกาสคุณตัดสินใจอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง คุณจะได้ขึ้นรถไฟอีกหลายขบวน  

และมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเผลอเอารถไฟขบวนที่เราขึ้น ไปเทียบกับคนอื่นๆ เอาความก้าวหน้าของตัวเอง ไปวัดกับความสำเร็จของคนรอบข้าง 

ใช่ มันไม่ใช่เรื่องแปลก… แต่ตื่นตัวและอย่าตกเป็นทาสมัน ในยุคสมัยที่ย่อโลกทั้งใบไว้ในมือ เราติดตามชีวิตกันและกันผ่านโซเชียลมีเดีย ได้เห็นเพื่อนคนนู้นไปเที่ยวต่างประเทศ เห็นเพื่อนคนนี้เป็นเจ้าของธุรกิจ ทุกคนดูมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบกันไปเสียหมด จนไม่เหลือที่ว่างให้จุดด่างพร้อยในชีวิต 

เมื่อไหร่ที่รู้ตัว จงอย่าลืมว่าธรรมชาติของโซเชียลมีเดียมันถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่แห่งความงดงาม ทุกคนโพสต์แต่เรื่องราวดีๆ  และปกปิดแง่มุมที่ยากลำบากไว้เบื้องหลัง เรากำลังมองภาพที่ดีที่สุดที่ถูกเลือกมาจากบรรดาร้อยภาพพันภาพในชีวิตของคนเหล่านั้น จงอย่าปล่อยให้สิ่งนี้มาด้อยค่าชีวิตเราโดยที่เราไม่รู้ตัว

ในทางกลับกัน หากเราเป็นคนที่เล่นโซเชียลมีเดีย ก็จงอย่าถูกโซเชียลมีเดียครอบงำ จนปล่อยให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ของ ‘ตัวแสดง’ ไม่ใช่ ‘ตัวตน’ 

ทำไมเดี๋ยวนี้คนนิยมมีแอคลับ-แอคหลุม ทำไมเราถึงไม่มั่นใจที่จะเป็นตัวของตัวเองในพื้นที่ของตัวเอง ทำไมต้องแอบซ่อนตัวตนไว้ที่กำแพงอีกด้าน ในเมื่อมันไม่ใช่สิ่งที่ผิด แล้วเหตุใดเราจึงต้องกลัวมันไม่ถูกใจคนอื่นๆ 

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มโดน ‘ตัวแสดง’ ครอบงำชีวิต Niamh แนะนำให้ลองกลับมาสำรวจตัวเองว่าเพราะอะไรเราจึงไม่พึงพอใจกับตัวเอง 

เราไม่พอใจที่เราไม่เป็นไปตามคุณค่าของเรา 

หรือไม่พอใจที่เราไม่เป็นไปตามคุณค่าคนอื่น?

Niamh ย้ำว่า ในโลกที่พยายามทำให้ทุกคนอยู่บนบรรทัดฐานเดียวกัน ความแตกต่างและการเป็นตัวของตัวเองจะทำให้คุณมีคุณค่าและมีที่ยืน ดังนั้น ไม่ว่าโลกจะหมุนไปเท่าไหร่ จงโอบกอดความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ และรักมันจากหัวใจของคุณ

“ฟังเสียงตัวเองให้มาก ฟังคนอื่นให้น้อย”

การรักตัวเองและโอบกอดตัวเองเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบตัวตนที่แท้จริงของคุณ เมื่อไหร่ที่คุณเคารพตัวเองมากพอ คุณจะเริ่มได้ยินเสียงความต้องการของตนเอง ดังกว่าเสียงของคนอื่นๆ ที่ตะโกนบอกว่าคุณควรเป็นอะไร

หากคุณเป็นคนที่กำลังทุกข์ทรมานกับการใช้ชีวิต เหนื่อยล้ากับงานที่ทำทุกวัน หวาดกลัวการมาถึงวันจันทร์ นี่อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณควรกลับมาทบทวนตัวเองได้แล้ว ว่าคุณกำลังใช้ชีวิตอยู่บนความเชื่อของตัวเองหรือเปล่า

Niamh แชร์ถ้า ถ้าเราลองสังเกตตัวเองดีๆ เราทุกคนต่างใช้ชีวิตโดยถูกผลักดันด้วยความเชื่อ เชื่อว่าสิ่งนี้มีคุณค่า เชื่อว่าสิ่งนี้ถูกต้อง เชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้เราประสบความสำเร็จ เราต่างเดินบนเส้นทางที่เชื่อว่าปลายทางมีสิ่งเหล่านี้รออยู่ 

แต่ถ้าคุณกำลังทุกข์ทรมานกับการทำงาน ให้ลองย้อนกลับไปถามตัวเองว่า ทุกข์เพราะอะไร เพราะสิ่งที่ทำมันขัดกับความเชื่อของคุณหรือเปล่า คุณไม่ได้เชื่อว่างานนี้จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ คุณไม่ได้เชื่อว่างานให้มอบคุณค่าให้กับชีวิต ความเชื่อเหล่านี้มันมลายหายไปแล้วใช่หรือไม่ 

ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วรออะไรอยู่ล่ะ?​ 

อย่าเสียเวลาอีกเลย รีบตามหารถไฟขบวนใหม่ที่คุณเชื่อว่ามันพาไปยังจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ แล้วกระโดดขึ้นไปได้เลย

“กว่าจะเป็นรู้อย่างงี้ มันไม่ง่าย”

Niamh เล่าว่าเธอก็เป็นคนนึงที่ขึ้นรถไฟผิดขบวน กระโดดลงกลางทาง บางครั้งก็วิ่งตามรถไฟขบวนเดิม เพื่อที่จะกระโดดลงกลางทางอีกครั้ง สิ่งนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ในช่วง 40 ปีที่เธอตามหาตัวเอง 

ย้อนกลับไป Niamh ในวัยเด็กชื่นชอบการเป็นนักแสดง และมีความฝันเป็นนักบินอวกาศ เธอเฝ้าฝันถึงการมองภาพโลก โดยที่เท้าของเธอแตะอยู่ที่ดวงจันทร์ เด็กหญิง Niamh ชอบนิยาย Sci-Fi และคลั่งไคล้วิทยาศาสตร์ ซึ่งนั่นน่าจะเพียงพอให้เธอเดินตามความฝันแล้ว

แต่พอก้าวเข้าสู่วัยรุ่น สภาพแวดล้อมก็ทำให้เธอลืมเลือนความปรารถนาที่อยู่ลึกสุดในจิตใจ สังคมเกลี้ยกล่อมให้เธอ ‘อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง’ โลกความเป็นจริงที่ต้องคำนึงถึงปัญหาเศรษฐกิจ ฐานะครอบครัว และการดำรงชีพ

Niamh เริ่มต้นใช้ชีวิตในแบบที่ (คนอื่นบอกว่า) มันควรจะเป็น เธอเรียนต่อในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ เป็นนักเรียนดีเด่น ทำผลงานได้ดีเยี่ยม แต่ระหว่างทางเธอเกือบจะยอมแพ้หลายต่อหลายครั้ง เพราะความปรารถนาที่อยู่ลึกสุดนั้นไม่เคยหายไป  แต่เธอก็กัดฟันสู้ต่อครั้งแล้วครั้งเล่า เรียนจบปริญญาตรี ต่อปริญญาโท และจบลงที่ปริญญาเอก เธอเดินทางมาถึงจุดสูงสุดของการศึกษาแบบที่หลายคนคิด

แต่พอเรียนจบเธอเผชิญหน้ากับภาวะหมดไฟแบบแทบประคับประคองชีวิตต่อไปไม่ไหว ใช่… เธอเรียนจบ และได้เป็นวิศวกร และนักวิจัยอย่างที่ควรจะเป็น แต่สิ่งนั้นมันฆ่าเธอทั้งเป็น Niamh เล่าว่าตัวเองตัวเองใช้ชีวิตเหมือนคนหายใจไม่ออกตลอดเวลาในที่ทำงาน และใช้เวลาแปดชั่วโมงที่นั่น ด้วยความหวังเดียวคือจะได้กลับบ้านในตอนเย็น 

เธอจมอยู่กับความรู้สึกนี้เนิ่นนาน ความรู้สึกของการหลงทาง ไม่รู้จะไปทางไหน และไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร จนในที่สุด เธอตัดสินใจอยู่นิ่งๆ ให้ความเงียบครอบงำ และฟังเสียงเรียกร้องของตัวเองอย่างตั้งใจครั้งแรกในชีวิต 

Niamh เล่าว่าเธอมักจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วได้ยินเสียงในหัวตัวเองตะโกนบอกว่าสิ่งที่เธอควรจะเป็น และควรจะทำคืออะไร แต่หลายต่อหลายครั้งเธอเลือกที่จะสลัดมันทิ้ง และตื่นเช้ามาเพื่อใช้ชีวิตตามลูปเดิม แต่มันไม่ใช่กับครั้งนี้… เพราะเธอไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจาก ‘เป็นตัวของตัวเอง’ หลังจากวิ่งหนีมา 40 ปี

ท้ายที่สุด Niamh ตัดสินใจฉีกกระชากวาทกรรม ‘นักเรียนที่สมบูรณ์แบบ’ หรือ ‘นักวิจัยดีเด่น’ ทิ้งไปซะ แล้วเดินหน้าค้นหาตัวเองอีกครั้ง เธอมุ่งหน้าสู่เส้นทางการแสดง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุด ได้ทำในสิ่งที่เฝ้าฝันมาตลอด นอกจากนี้การเป็นนักแสดง ยังพาเธอไปเจออีกหนึ่งความฝันที่ซ่อนอยู่ลึกสุดในจิตใจ นั่นคือการเป็นนักบินอวกาศ

การแสดงทำให้เธอมีโอกาสใส่ชุดอวกาศอีกครั้ง แล้วยิ่งเธอสวมใส่มันนานเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเห็นความผิดพลาดของตัวเอง เธอตั้งคำถามกับตัวเองว่าปล่อยให้ชีวิตมาไกลจากความฝันขนาดนี้ได้ยังไง พร้อมกับพบว่า ตอนนี้มันสายไปแล้วที่จะย้อนกลับไป 

‘การได้มองโลกจากดวงจันทร์’ สิ่งนั้นคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น ใช่ว่าการต่อสู้ของเธอจะสูญเสีย อย่างน้อยเธอก็เจอตัวเองในที่สุด ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองรักการแสดง มีความฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ แต่ขณะเดียวกันก็สลัดคราบนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้เวลา ¼ ของชีวิตไปกับมันทิ้งไม่ได้ ตอนนี้เธอค้นพบอาชีพที่สามารถรวมความชอบเหล่านี้เข้าด้วยกัน

Niamh เป็นนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ เธอได้เล่าเรื่อง เธอได้พูดคุยตามศาสตร์การแสดงที่เรียนมา และเข้าร่วมโครงการเกี่ยวกับอวกาศมากมาย ต่อให้ไม่ใช่ดวงจันทร์ แต่สิ่งนี้ก็มากพอจะหล่อเลี้ยงให้เธอมีชีวิตต่อโดยไม่รู้สึกติดค้างหรือรู้สึกผิดกับตัวเอง

“หรี่หูฟังทุกข้อความที่จิตใต้สำนึกกำลังสื่อสารกับทุก”

การต่อสู้อย่างหนักหน่วงเพื่อค้นหาตัวเองตลอด 40 ปีที่ผ่านมามันมอบรางวัลเป็นชีวิตใหม่ที่แสนมีค่าให้กับ Niamh และนอกจากนั้น มันยังทำให้เธอตกตะกอน และได้บทเรียนสำคัญกลับมานั่นคือ ‘อย่าวิ่งหนีตัวเอง’

จงเฝ้าสังเกตตัวเองให้ดี สังเกตทุกสัญญาณที่เกิดกับคุณ ความคิดประหลาดที่โผล่เข้ามาในหัวตอนกำลังเหม่อลอย ภาพที่คุณเห็นตัวเองตอนเฝ้าฝันถึงอนาคต หรือแม้แต่เสียงกรีดร้องในหัวยาวค่ำคืน นั่นอาจจะเป็นข้อความที่จิตใต้สำนึกของคุณพยายามบอกคุณอยู่ อย่าพยายามกีดขวางตัวเอง อย่าปล่อยให้เสียงของคนรอบข้าง โซเชียลมีเดีย หรือสังคม ดังกว่าเสียงความต้องการของตัวคุณเอง

Niamh ย้ำทิ้งท้ายว่า เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนแบบที่สังคมอยากให้เป็น (แน่นอน ต้องไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย) ถ้าคุณไม่ชอบการปาร์ตี้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองเพื่อเข้าสังคม Niamh เคยเป็นคนคนนั้น คนที่อยากป็อปปูล่าร์ในหมู่เพื่อนๆ แต่มันกลับทำให้เธอเหนื่อยล้า และอยู่ผิดที่ผิดทาง 

ตอนแรกเธอมองว่า อุปนิสัยนี้ของเธอมันคือจุดด่างพร้อย คือสิ่งที่กีดกันเธอจากความสำเร็จ แต่เมื่อโตขึ้นจึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เลย แต่มันคือหนึ่งในองค์ประกอบที่สร้างตัวตน จนเราเป็นเราอย่างทุกวันนี้

เมื่อไหร่ที่เราทำความเข้าใจตัวตนเราได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อไหร่ที่เรายอมรับความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ เมื่อนั้นคุณจะพบว่า นี่คือตัวคุณในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด คุณจะรักคนที่มองเห็นในกระจก คุณจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับตัวตนที่ตามติดคุณไปทุกที่ 

และเมื่อไหร่ที่เกิดความรู้สึกนี้ สิ่งดีๆ มากมายจะวิ่งเข้าหาคุณ โดยที่คุณไม่ต้องพยายามฝืนเพื่อให้ได้มันมาอีกต่อไป

#AIMHOURxNiamhShaw
#AIMHOUR
#สำนักข่าวทูเดย์
จารุวรรณWriterจารุวรรณ
วันจันทร์ที่เกิดวันอังคาร

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง