เพราะชีวิตต่างมีจังหวะและท่วงทำนองของมัน และนั่นคือสิ่งที่ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ได้สำรวจ เฝ้ามอง และถอดออกมาเป็นแพทเทิร์นของชีวิตที่เชื่อว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง เราจะเกิดคำถามต่อความหมายของตัวเอง และสำหรับเขา สิ่งนี้เกิดขึ้นทุกๆ 6 ปี
หากใครเป็นแฟนคลับของ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล เราอาจได้เห็นเขาผ่านรายการมากมายที่ดูจริงจัง ซีเรียส และหนักแน่น แต่วรรณสิงห์ในวัยใกล้เลข 4 กลับมีเรื่องที่เขาต้องเรียนรู้ และเติบโตผ่านความเจ็บปวด ผ่านช่วงเวลาใจสลาย และกลายเป็นคนที่ไม่รู้ว่าตื่นมาแล้วต้องทำอะไร
และนี่คือเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของ หลังจากออกมาจากสิ่งที่วรรณสิงห์นิยามว่าเป็นช่วงดักแด้ และตอนนี้ได้กลายเป็นผีเสื้อที่พร้อมจะเดินทางต่อในวัย 40 แล้ว
#ช่วงเวลาที่ดีคือการเติบโตและผ่านความเจ็บปวด
หนึ่งในบทเรียนวัยใกล้เลข 4 ของวรรณสิงห์คือการได้มองเห็นแพทเทิร์นการเติบโตของตัวเขาเอง
เขาค้นพบว่าโมเมนต์ที่ดีที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาคือการได้เติบโตและการพบเจอความเจ็บปวด ซึ่งวรรณสิงห์มองเห็นช่วงเวลาวัฏจักรของเขาว่าในทุกๆ 6 ปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในตัวตนของเขาเสมอ ในวันที่รู้สึกว่าทุกอย่างลงตัว สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านั้นก็จะพังทลายลง และเป็นช่วงเวลาที่ต้องเคาะตัวเองคนเก่าทิ้ง แล้วก็นั่งหาวิญญาณของตัวเองใหม่
แน่นอนว่าในช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นเรื่องทรมาน แต่วรรณสิงห์เทียบชีวิตกับดักแด้ว่า พอผ่านช่วงดักแด้และกลายเป็นผีเสื้อได้ เขาเหมือนได้ตัวตนใหม่ที่มีความสุขมากขึ้น แต่สิ่งที่เขารู้สึกได้คือสุดท้ายแล้วเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่จะเกิดภาวะเหล่านี้อีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
#ชีวิตที่ปล่อยวางได้ครั้งแรกในวัยก่อน40
หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ได้ทบทวนตัวเอง ได้อยู่กับตัวเอง สิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้คือในช่วงอายุ 38 – 39 ปี เขาเพิ่งได้สัมผัสกับคำว่า ‘ปล่อยวาง’ ได้จริงๆ ครั้งแรก
แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะรู้จักคอนเซ็ปต์นี้มาโดยตลอด โดยที่ผ่านมาตัววรรณสิงห์พบว่า ในวันที่เกิดปัญหา เกิดความผิดหวังในชีวิต การปล่อยวาง และไม่มองย้อนกลับไปเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด
ซึ่งก่อนจะรู้จักการปล่อยวาง เขากลายเป็นคนที่ตื่นมาแล้วไม่อยากทำอะไร ไม่มีแรงขับเคลื่อนอะไร ซึ่งวรรณสิงห์ยอมรับว่ากว่าจะสัมผัสกับคำว่าปล่อยวางได้ แต่ละชั่วโมงที่ผ่านไปเป็นเรื่องยากจนเขาไม่คิดว่าจะผ่านไปได้เสียด้วยซ้ำ
แต่ด้วยความทุกข์เหล่านั้น ทำให้เขาตัดสินใจลุกขึ้นมาทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะไปพบนักจิตบำบัด อยู่กับเพื่อน กับครอบครัว และได้ค้นพบการปล่อยวางครั้งแรกในชีวิต ซึ่งเขาพบว่าประโยค ‘เวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง’ เป็นประโยคที่จริงมากสำหรับเขา แต่มันไม่ใช่การปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วดีขึ้นเอง แต่ผ่านการตกตะกอน ให้เวลาตัวเองได้คิด ได้เคลียร์ขึ้น
#ให้เวลาในการเรียนรู้ตัวเองใหม่
สำหรับวรรณสิงห์ เขานิยามตัวเองว่าเป็นคนบ้างาน และมีเป้าหมายใหญ่ๆ ที่อยากไปให้ถึง แต่เมื่ออายุมากขึ้น เขาจึงค้นพบว่า รสชาติของการได้ผจญภัย ของการสร้างความสำเร็จต่างๆ มันไม่ได้เข้มข้น กลมกล่อมอีกต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ตามด้วยนิสัยความเป็นคนซีเรียสกับทุกเรื่องของเขา ก็ทำให้การมองหาชีวิตธรรมดา กลายเป็นความตั้งใจ ความทุ่มเทที่ใส่ไปเต็มกำลัง จนกระทั่งชีวิตไม่เป็นไปตามที่หวัง นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาสัมผัสกับคำว่า ‘ใจสลาย’
ในช่วงเวลานั้นเองที่ทำให้เขาได้ลองกลับมาทำความรู้จักตัวเองใหม่อีกครั้ง และใช้เวลานานในการเรียนรู้ตัวเองใหม่ จนกระทั่งค้นพบว่าชีวิตไม่จำเป็นต้องแบ่งเป็นบทๆ เป็นขั้นบันไดที่ต้องทำตามไปทีละสเต็ป แต่ชีวิตในทุกมิติสามารถเดินทางไปพร้อมๆ กันได้ เขามองเห็นว่าชีวิตคือการพัฒนาตัวเองที่แข็งแรง ไปพร้อมๆ กับสร้างบ้าน สร้างครอบครัว สร้างสิ่งรอบตัว แบบไม่ต้องเร่งรีบก็ได้
#เราต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ในวันที่พ่อแม่กลายเป็นเด็กอีกรอบ
แน่นอนว่าในวัยใกล้ 40 สิ่งที่เขารู้สึกคือเรื่องของพ่อแม่ วรรณสิงห์มองว่าในช่วงอายุนี้มีความกดดันหลายทาง ทั้งจากการดูแลทีมที่อาจจะมีอายุเด็กกว่า บางคนต้องดูแลลูก ในขณะที่อีกฟากก็มีพ่อแม่ที่ต้องดูแล ซึ่งเขากำลังแก่ชรา และอาจพูดได้ว่ากำลังจะกลายไปเป็นเด็กอีกรอบ
สำหรับตัวเขาเองเขาให้ความสำคัญกับพ่อแม่เป็นอันดับต้นๆ ถ้าเขาต้องการ วรรณสิงห์มองว่าตัวเขาต้องไปอยู่ตรงนั้น เพราะสิ่งที่รู้สึกได้คือพ่อแม่มีเวลาที่จำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ และเขาเพิ่งตระหนักถึงความแก่ชราของพ่อแม่ได้เมื่อตัวเองเข้าสู่วัยกลางคน ซึ่งในทางหนึ่งวรรณสิงห์มองว่าเหมือนต้องสลับบทบาท จากที่เราเคยเป็นคนต้องถูกดูแล วันนี้เรากลายเป็นคนที่ดูแลเขา ในขณะที่เขาเคยเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลเรา แต่วันนี้เขาคือคนที่เราต้องดูแล
#ความรักที่ดีคือการนั่งด้วยกันเฉยๆก็สบายใจ
นอกจากเรื่องพ่อแม่ อีกสิ่งหนึ่งที่วรรณสิงห์ให้ความสำคัญคือเรื่องความสัมพันธ์ ในมุมมองความรักของวรรณสิงห์วัยเกือบ 40 ปี พบว่า คุณค่าของความรักที่เขามองหาคือการที่อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะทำอะไรให้เขาไม่พอใจ หรือครอบครัวเขาจะคิดยังไงกับเรา หรือรู้สึกว่าเราทำดีไม่พอตลอดเวลา
จากประสบการณ์ความรักที่ผ่านมาทำให้ตัวเขาเองก็ได้บทเรียนว่า ถ้ารู้จักคุณค่านี้ก่อน ก็คงทำให้ตัวเขาเองเห็นคุณค่าในความรักที่ผ่านมาได้ดีขึ้น เห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาเป็นอยู่แล้วมากกว่ามานั่งบอกว่าเขาต้องเป็นยังไง เพราะความรักที่ดีการที่ไม่ต้องบังคับให้คนรักเป็นแบบที่อยากให้เป็น แต่เป็นการทำให้เรามีพลังงานไปเป็นคนที่ควรจะเป็น หรืออยากจะเป็นในแบบตัวเองได้
ติดตามสัมภาษณ์สิงห์ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ในรายการ First Things First ได้ที่ : https://youtu.be/azyf5MtJY5A?si=OAuI0QZEm5tz6JFp










