จุดเปลี่ยนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนที่ไม่สามารถฟื้นตัวได้จนถึงตอนนี้ ส่งผลกระทบต่อภาคก่อสร้างในจีนมาก ทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างจีนหาวิธีเริ่มออกไปรับงานในต่างประเทศมากขึ้น โดยไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของผู้รับเหมาก่อสร้างจีน
ในปี 2024 เงินลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทยอยู่ที่ 3,052 ล้านบาท ขยายตัว 14% จากปี 2023 ซึ่งเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2020–2024) ที่ 21%
SCB EIC ได้นวิเคราะห์สถานการณ์ผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้างไทยจะรับมือไหวแค่ไหนกับการเข้ามาของผู้รับเหมาจีนไว้ได้น่าสนใจ
แต่ก่อนจะไปดูในรายละเอียดของจีน เราไปสำรวจภาคก่อสร้างไทยกันก่อนว่า ตอนนี้ผู้รับเหมาต่างชาติกลุ่มไหนเข้ามาบ้าง?
ทำความเข้าใจกันก่อนว่า การอนุญาตให้ผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างในไทย อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ซึ่งธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถูกจัดอยู่ในกลุ่มบัญชีสาม คือ เป็นธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันในการประกอบกิจการกับคนต่างด้าว ส่งผลให้การเข้ามาในไทยของผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติสามารถอยู่ในรูปแบบการเข้าถือหุ้นร่วมกับผู้รับเหมาไทยโดยไม่เกิน 49% ซึ่งในกรณีนี้จะไม่ต้องขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
แต่สำหรับกรณีที่ผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติที่ต้องการเข้าถือหุ้นร่วมกับบริษัทไทยเกิน 49% ไปจนถึงเต็ม 100% จะต้องขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และต้องมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำอย่างน้อย 3 ล้านบาท
ถ้าดูตามสถิติจนถึงเดือนสิงหาคม 2025 มีการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างของคนต่างด้าวสะสมที่ 623 ราย ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ 42% เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างสัญชาติญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติยังมีช่องทางลงทุนร่วมกับผู้รับเหมาก่อสร้างไทยในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมในการดำเนินงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นการอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่แตกต่างกันของผู้ประกอบการแต่ละราย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และบริหารจัดการความเสี่ยงในการดำเนินงานก่อสร้าง
ที่่ผ่านมาประเทศไทยส่งเสริมการเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ ทั้งในรูปแบบการได้รับสิทธิ ตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศ และการได้รับการส่งเสริมลงทุนจาก BOI ในกรณีที่เป็นโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงโครงการก่อสร้างที่มีนวัตกรรม หรือใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ถ้าดูจากเงินลงทุนของธุรกิจต่างชาติจะเห็นว่า ‘ฮ่องกง’ มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในภาคก่อสร้างไทยสูงเป็นอันดับ 1 ในปี 2024 (4,020 ล้านบาท) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้รับเหมาก่อสร้างฮ่องกงมักเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างอาคารที่ใช้พักอาศัย งานก่อสร้างทางรถไฟ การก่อสร้างงานโครงสร้างพิเศษบางประเภท เป็นต้น
[ จีนลงทุนไทยเพิ่มขึ้น ตามนโยบายรัฐบาลจีนส่งออกผู้รับเหมาไปต่างประเทศ ]
สำหรับเงินลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยผู้รับเหมาก่อสร้างจีนเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างในไทยเพิ่มขึ้น ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด รัฐบาลจีนได้ผลักดันให้ผู้รับเหมาก่อสร้างออกไปดำเนินงานก่อสร้างในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ เช่น Belt and Road Initiative (BRI) และรถไฟความเร็วสูงในประเทศต่างๆ การส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ได้แก่ China State Construction Engineering Corporation (CSCEC) และบริษัทในเครือออกไปเร่งลงทุนต่างประเทศ ในลักษณะการเงินผ่านด้านการเงินสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้าง ทั้งรูปแบบเงินทุนตนเองหรือแหล่งเงินกู้และรูปแบบอื่นที่ออกโดยธนาคารภาครัฐ
จุดเปลี่ยนต่อภาคอสังหาริมทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่ ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อภาคก่อสร้างในจีนมาก ทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างจีนเริ่มออกไปรับงานในต่างประเทศมากขึ้น โดยไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของผู้รับเหมาก่อสร้างจีนในต่างประเทศ
โดยในปี 2024 เงินลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทยอยู่ที่ 3,052 ล้านบาท ขยายตัว 14% จากปี 2023 ซึ่งเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2020–2024) ที่ 21%
[ ผู้รับเหมาจีนเข้ามารับงานก่อสร้างกลุ่มไหนบ้าง ? ]
ผู้รับเหมาก่อสร้างจีนเข้ามาร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาก่อสร้างไทยเป็นอันดับต้นๆ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกือบทุกประเภทโครงการก่อสร้างในปี 2025 มีการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในกิจการก่อสร้างของผู้รับเหมาจีนรวมทั้งสิ้น 213 ราย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 34% ของผู้ลงทุนก่อสร้างทั้งหมดจากต่างชาติ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ และกลุ่มโครงการเอกชนที่ไม่ใช่ที่พักอาศัยหรือโครงการสาธารณูปโภค โดยเฉพาะกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานหรือโครงการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีการขอใบอนุญาตฯ และขยายตัวต่อเนื่องถึง 21% เมื่อเทียบกับปี 2024
[ การเข้ามาของผู้รับเหมาก่อสร้างจีนกระทบผู้รับเหมาไทยอย่างไร ? ]
ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยมีความเปราะบางในการประกอบธุรกิจอยู่แล้ว และถูกซ้ำเติมด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้นจากการเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างของผู้รับเหมาก่อสร้างจีน ที่มีการแข่งขันด้านราคา อีกทั้งยังกระทบบริษัทธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องใน Supply chain ภาคก่อสร้างไทย Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ
รวมถึงผู้รับเหมาก่อสร้างไทยยังมีความท้าทายด้านต้นทุนก่อสร้าง ทั้งค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ตลอดจนความท้าทายด้านรายได้ ที่ยังพบว่าผู้รับเหมาก่อสร้างที่รับงานภาครัฐเป็นหลักเผชิญปัญหาต่างๆ เช่น ความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างใหม่ๆ ราคาระหว่างในการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนก่อสร้าง การเบิกจ่ายค่าที่เป็นไปอย่างล่าช้า ตลอดจนสูตรการคำนวณค่า K ที่ไม่สะท้อนต้นทุนการก่อสร้างที่แท้จริง
สำหรับในส่วนของผู้รับเหมาก่อสร้างที่รับงานภาคเอกชนหลักยังเผชิญข้อจำกัดในการรับงานก่อสร้างใหม่ๆ โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัย ที่หยุดตัวไปช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงยังไม่แนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2025 และ 2026
SCB EIC สรุปว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยมีความเปราะบางในการประกอบธุรกิจอยู่มาก และส่งผลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยเผชิญปัญหาด้านผลกำไรจากผลของจักรการลงทุนอย่างรุนแรง ในระดับที่มีการเกิดการขาดทุนมากในปี 2023 และ 2024
การเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างของผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ โดยเฉพาะผู้รับเหมาก่อสร้างจีนนั้นเป็นปัจจัยซ้ำเติมให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยเผชิญภาวะที่ท้าทายในธุรกิจนี้ โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาทั้งในการประมูลงาน หรือรับจ้างก่อสร้าง ซึ่งการสนับสนุนของรัฐบาลจีนที่มีการส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ และบริษัทในเครือออกไปประกอบธุรกิจในต่างประเทศ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านการเงินสำหรับบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง อีกทั้ง ผู้รับเหมาก่อสร้างจีนสามารถดำเนินงานก่อสร้างได้โดยมีโครงการก่อสร้างต้นทุนที่ต่ำกว่าผู้รับเหมาไทยในบางโครงการ โดยการมีต้นทุนวัสดุก่อสร้างในประเทศจีนที่ต่ำกว่าต้นทุนวัสดุก่อสร้างในประเทศไทย ตลอดจนการผลิตสินค้าหลายชนิดในจีนที่มีราคาถูกกว่า
สะท้อนผ่านสัดส่วนผู้รับเหมาก่อสร้างจีนที่ได้รับงานโครงการก่อสร้างของรัฐผ่านการประมูลงาน หรือรับจ้างก่อสร้าง ได้ในระดับราคาที่ต่ำกว่าผู้รับเหมาก่อสร้างไทยได้บ่อยครั้ง จนผู้รับเหมาไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ และสูญเสียงาน
อีกทั้งกระทบต่อธุรกิจที่ต่อเนื่องใน Supply chain ภาคก่อสร้างไทย จากการใช้วัสดุก่อสร้างที่ผลิตจากจีนเป็นหลักในหลายกลุ่มสินค้า เช่น เหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป, อลูมิเนียม และกระเบื้อง ซึ่งสินค้าในกลุ่มนี้แม้มีมาตราฐานใกล้เคียงไทย แต่ราคาต่ำกว่าทำให้กระทบต่อยอดขายสินค้าในประเทศ และทำให้เกิดการใช้กำลังผลิตในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยน้อยลง
สำหรับกรณีเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างของผู้รับเหมาจีนในรูปแบบการใช้ผู้รับเหมาไทยเป็น Nominee ทำให้ภาคก่อสร้างไทยเผชิญความเสี่ยง ทั้งการหลีกเลี่ยงกฎหมายรับผิดชอบเมื่อเกิดปัญหาขึ้น และไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามข้อกำหนด
นอกจากนี้สังเกตได้จากแนวโน้มในช่วงหลัง ผู้รับเหมาจีนหลายรายมีความพยายามขยายเข้าสู่ตลาดงานรับเหมาก่อสร้างภาครัฐ ทั้งในโครงการขนาดใหญ่และขนาดกลาง เช่น ระบบราง การก่อสร้างสะพาน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ซึ่งบางกรณีผู้รับเหมาไทยรายเล็กต้องยอมรับงานเป็น Subcontract โดยไม่มีอำนาจในการต่อรอง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการจัดจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทั้งในแง่ราคา และการรับประกันคุณภาพการก่อสร้าง
[ ผู้รับเหมาไทยต้องปรับตัวยังไง? และภาครัฐจะช่วยอะไร ]
ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยควรเร่งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อรับมือต่อการเข้ามาดําเนินงานก่อสร้างของผู้รับเหมาก่อสร้างจีน ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น ซอฟต์แวร์ด้านการออกแบบและก่อสร้าง, เทคโนโลยีอาคารแบบสำเร็จรูป, Building Information Modeling (BIM), 3D Printing, AI, อุปกรณ์และเครื่องจักรก่อสร้างอัตโนมัติ, Drone, Sensor, Smart wearable ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Productivity และบริหารจัดการความท้าทายในภาระงานธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น เช่น ลดความผิดพลาดจากการก่อสร้าง ลดการใช้แรงงาน ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ลดต้นทุนก่อสร้าง รวมถึงผู้รับเหมาภ่อสร้างที่สามารถเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ จะมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันในการประมูลงานก่อสร้าง และมีโอกาสเป็นที่ยอมรับในลำดับต้น ๆ ของผู้ว่าจ้างได้
รายงาน SCB EIC ระบุว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยควรเปิดโอกาสขยับพันธมิตรไปสู่การร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาก่อสร้างชาติอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี และเกาหลีใต้ มากกว่าผู้รับเหมาก่อสร้างกลุ่มจีน ซึ่งจะมีข้อได้เปรียบในเรื่องความสามารถด้านเทคนิค วิศวกรรม การออกแบบก่อสร้าง ระบบอาคารอัจฉริยะ อุปกรณ์ก่อสร้างอัตโนมัติ และการจัดการโครงการ ที่สามารถรองรับนวัตกรรมได้ดีกว่า ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในการเข้าประมูลงาน สร้างความน่าเชื่อถือในกลุ่มผู้ว่าจ้าง รวมถึงยังเปิดโอกาสในการได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างแท้จริงในกลุ่มงานก่อสร้างจากผู้รับเหมาต่างชาติด้วย
ส่วนภาครัฐต้องสร้างความสมดุลระหว่างการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ และการปกป้องผู้รับเหมาก่อสร้างไทย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคก่อสร้างไทยได้ประโยชน์จากการเข้ามาดำเนินงานก่อสร้างของผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดการจ้างงาน รวมถึงทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อสร้าง
แต่ในระยะยาว ภาครัฐควรมีบทบาทในการกำหนดกลไกในการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ กับการปกป้องผู้รับเหมาก่อสร้างไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กและรายกลางที่อาจมีความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่า
โดยการส่งเสริมการลงทุนให้ผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และญี่ปุ่น เข้ามาร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาก่อสร้างไทย จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมาไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อสร้าง
ภาครัฐจำเป็นต้องพิจารณากำหนดเงื่อนไขปกป้องผู้รับเหมาภายในประเทศด้วย เช่น เงื่อนไขที่ชัดเจนว่าต้องร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาภายในประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมาภายในมีโอกาสในการรับงานก่อสร้างในประเทศ ดังนั้นจึงต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อสร้างให้กับผู้รับเหมาภายในประเทศ เพื่อส่งเสริมโอกาสให้ผู้รับเหมาภายในประเทศได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อสร้าง
นอกจากนี้ ต้องกำหนดเงื่อนไขที่สนับสนุน Supply chain ก่อสร้างที่จะไม่ให้มีต่างชาติเข้ามาแย่งงานในตลาดก่อสร้างได้รับผลกระทบในเชิงแรงงานได้ ทั้งแรงงานฝีมือ กึ่งฝีมือ และแรงงานพื้นฐาน การกำหนดให้ใช้วัสดุก่อสร้างที่ผลิตในประเทศ การกำหนดให้มีบริษัทไทยเป็นผู้ควบคุมการออกแบบ ออกแบบ และตรวจแบบโครงการต่างๆ ด้วย
เรียบเรียงจากรายงานฉบับเต็มเรื่อง ภาคก่อสร้างไทยรับมือให้ไหวกับการเข้ามาของผู้รับเหมาจีน โดย SCB EIC
ติดตามอ่านรายละเอียดเต็ม ที่นี่










