วันนี้ (16 ส.ค. 2564) ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ แถลงผลการทดลองเบื้องต้นของวัคซีนชนิด mRNA “ChulaCov-19” ในมนุษย์ระยะแรก
ทั้งนี้ยังเป็นเพียงผลการทดลองเบื้องต้นจากอาสาสมัครจำนวน 36 คน อายุ 18-55 ปี โดยยังไม่ได้มีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ
ผลการทดลองเบื้องต้นพบว่า วัคซีน “ChulaCov-19” สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดแอนตี้บอดี้ได้สูงเทียบได้กับวัคซีน mRNA เช่น ไฟเซอร์ โดยแอนตี้บอดี้ที่สูงนี้สามารถยับยั้งเชื้อข้ามสายพันธุ์ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์คือ อัลฟ่า เบต้า แกมม่า และเดลต้า ได้
และสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิด ที-เซลล์ ซึ่งจะช่วยขจัดและควบคุมเชื้อที่อยู่ในเซลล์ของคนที่ติดเชื้อได้ โดยสามารถยับยั้งการจับของโปรตีนที่ปุ่มหนาม 94% เทียบเท่าไฟเซอร์
ขณะที่ไม่พบว่ามีผลข้างเคียงรุนแรงใดๆ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอยู่ในขั้นเล็กน้อยหรือปานกลาง เช่น เจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ไข้ หนวดสั่น อ่อนเพลีย โดยมีอาการดีขึ้นภายใน 1-3 วันโดยเฉลี่ย

นพ.เกียรติ คาดการณ์ว่าอย่างเร็วที่สุด คนไทยจะได้ฉีดวัคซีน “ChulaCov-19” ในช่วงเมษายนปีหน้า แต่จำเป็นจะต้องมีองค์ประกอบ 4 อย่าง ได้แก่
1. ต้องไม่ระดมทุนแบบเดิม: ต้องมีเป้าหมายร่วมกันทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ต้องมีงบที่เพียงพอรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
2. กติกาในการขึ้นทะเบียนวัคซีนที่ชัดเจน: ต้องมีกติกาออกมาชัดเจนภายในเดือนหน้าจาก อย. ว่าการขึ้นทะเบียนจะต้องทำวิจัยระยะ 2B หรือระยะ 3 อย่างไรจึงจะเพียงพอ
3. โรงงานผลิต: ต้องเร่งดำเนินการให้สามารถผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพและจำนวนมากได้
4. นโยบายการจองและจัดซื้อวัคซีนล่วงหน้าต้องมีความชัดเจน
ทั้งนี้ทางศูนย์วิจัยวัคซีนฯ กำลังดำเนินการทดสอบกับอาสาสมัครสูงอายุ (56-75 ปี) รวมทั้งกำลังพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่ที่รองรับไวรัสกลายพันธุ์โดยเฉพาะอีกด้วย










