จากข่าวซื้อหนี้จากประชาชนให้ออกจากมาจากระบบธนาคาร โดยไม่ใช้งบประมาณรัฐแต่ใช้วิธีการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) มารับผิดชอบ และดูเหมือนกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาเรื่องนี้นั้น
ล่าสุดทาง ‘เครดิตบูโร’ โดย ‘สุรพล โอภาสเสถียร’ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ได้โพสต์เฟสบุ๊ก “Surapol Opasatien” เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยว่ามีตัวเลขที่น่าวิตกมาก โดยระบุว่า
ท่ามกลางบทสนทนาเกี่ยวกับการซื้อๆ ขายๆ สิทธิเรียกร้องหรือที่เรียกว่าหนี้สินระหว่างเจ้าหนี้เก่าไปยังเจ้าหนี้ใหม่ (ถ้าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น)
ขอดึงกลับมาที่สถานะของสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ณ เดือนมกราคม 2568 ให้เห็นก่อนว่า ข้อมูล ข้อเท็จจริง เวลานี้มันเป็นอย่างไรกันบ้าง ข้อมูลนี้ไม่มีเป้าหมายสนับสนุนคนเห็นด้วย คนเห็นต่าง แต่อยากเห็นการใช้ความรู้บนข้อมูล ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกแบบไม่มีข้อมูล
ถ้าดูข้อมูลจากสถาบันวิจัยป๋วย ซึ่งมีนักวิจัยที่เก่งมากๆ ได้นำข้อมูลสถิติที่ไม่มีตัวตนจากเครดิตบูโรจำนวนกว่า 27 ล้านลูกหนี้ ไปแยกแยะสุขภาพทางการเงินจากภาระหนี้สินแล้วนำไปนำเสนอในงานสัมนาวิชาการ ของธนาคารกลางปีที่แล้ว
ข้อมูลมันบอกว่า ในระบบการเงินของเราเวลานี้มีคนที่มีสุขภาพทางการเงินในระดับดี ซึ่งน่าจะพอยื่นกู้ได้เพียง 25% ที่เหลือก็ดูจะมีเงื่อนไขที่ดูจะยากในการได้รับอนุมัติตามมาตรฐานสินเชื่อในปัจจุบันที่เข้มถึงเข้มมาก
ภาพใหญ่ของสินเชื่อในระบบที่มีการส่งข้อมูลมาที่เครดิตบูโรทุกเดือน ตัวเลขคือ 13.6 ล้านล้านบาท ถ้าบวกเพิ่มด้วยหนี้ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ปล่อยกู้สมาชิกและกยศ.และอื่นๆก็จะไปอยู่ที่ 16.3 ล้านล้านบาทที่เราเรียกว่าหนี้ครัวเรือนนั่นเอง
การเติบโตของหนี้ของบุคคลธรรมดาในระบบเท่ากับ -0.5%yoy หมายถึงสินเชื่อรายย่อยแทบไม่ขยับ เราจึงเห็นการบ่นทั่วแผ่นดินว่ากู้ไม่ได้ กู้ไม่ผ่าน อัตราการปฎิเสธการให้สินเชื่ออยู่ในระดับที่สูง หลายคนคงเห็นด้วยกับผม ไปดูรายงานในหลายที่หลายแห่งก็พูดถึงการหดตัวของสินเชื่อรายย่อย, SMEs เป็นต้น
เจาะลงไปในไส้ในของหนี้ของนาย-ก.นาย-ข.จะพบว่า 1.22 ล้านล้านบาทเป็นหนี้เสีย NPLs คิดเป็นจำนวนทุกประเภทสินเชื่อ 9.5 ล้านบัญชี
5.8 แสนล้านบาทเป็นหนี้ที่กำลังจะเสียหนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษหรือหนี้ SM.จำนวน 1.9 ล้านบัญชี
หนี้เสียไปแล้วจากนั้นนำมาปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาหรือก็คือหนี้ NPLs เอามาทำ TDR กลายเป็นหนี้ปรับโครงสร้างอีก 1ล้านล้านบาทคิดเป็น 3.7 ล้านบัญชี
ต่อมาคือหนี้ที่เริ่มค้างชำระหรือเริ่มมีปัญหาแต่ยังไม่เกิน 90 วัน ซึ่งมีการรีบเร่งเอามาทำการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกันหรือทำ DR เพื่อให้กลับมาเป็นหนี้ปกติ เริ่มเก็บข้อมูลเดือนเมษายน 2567 ตอนนี้ยอดสะสมเท่ากับ 9.2 แสนล้านบาท จำนวน 1.7 ล้านบัญชี
ด้วยตัวเลขหนี้ที่มีลักษณะต่างๆ ข้างต้น ด้วยจำนวนมูลหนี้เป็นบาท ด้วยจำนวนที่นับเป็นบัญชีแล้ว เรามีปัญหาระดับที่อาจเรียกว่าวิกฤติได้
การฟื้นตัวของรายได้ไม่มากพอ ไม่ทั่วถึง ยังมาไม่เต็มที่และไม่เหมือนเดิม ประกอบกับคนที่พยายามจะขอกู้ติดกำแพงดังนี้
– ชนกำแพงอายุ เพราะถ้าจะต้องผ่อนเกินอายุ 60,65 ปี ใครเขาจะให้กู้
– ชนกำแพงรายได้ เพราะมันมีข้อกำหนดเรื่อง Debt to income, หนี้ต่อรายได้ ว่าเต็มศักยภาพในการหารายได้มาจ่ายหนี้ถ้าจะก่อเพิ่มได้หรือไม่
– ชนกำแพงสถานะทางเครดิตคือ เป็นคนเคยค้างชำระหรือไม่ เป็นคนที่กำลังค้างอยู่ไหม เป็นหนี้เสียไหม เคยเป็นหนี้ปรับโครงสร้างไหม
อย่างที่กล่าวข้างต้น เรามีคนสุขภาพทางการเงินดี 25% หรือประมาณ 5 ล้านคน ซึ่งหลายคนไม่มีความจำเป็นต้องกู้
ภาระหนี้สินกองเป็นภูเขาหลังจากเจอหลุมรายได้ มันฉุดกระชากเศรษฐกิจ เซาะกร่อนบ่อนทำลายรากฐานความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ ดังนั้นมาตรการที่กำลังแก้อยู่ไม่ว่า คุณสู้ เราช่วย จ่ายตรง คงทรัพย์ ปิดจ่ายจบ หรือที่กำลังวิวาทะฝุ่นตลบ (ซื้อหนี้) หากทางใดทางหนึ่ง หรือทางหนึ่งทางใดจะทะลุปัญหานี้ นอกเหนือจากออกมาพูดว่าเป็นเรื่องโครงสร้างแต่ไม่บอกวิธีแก้ชัดๆ แล้วนั้น เราควรใจกว้างๆ ใจร่มๆ เปิดรับฟังวิธีการ
เราควรสู้กับเรื่อง ไม่ใช่สู้กับคนให้มีเรื่อง ต้องคิดบวก ไม่ใช่พร้อมบวก บ้านเมืองมันถึงจะวิวัฒน์ ถ้าติไปทุกเรื่องมันก็วิบัติ
ถอยออกมาดูข้อมูล ข้อเท็จจริงก่อน










