พัฒนาคุณภาพและก้าวให้ทันความเปลี่ยนแปลง หัวใจสำคัญวงการหนังหลังยุคโควิด

พัฒนาคุณภาพและก้าวให้ทันความเปลี่ยนแปลง หัวใจสำคัญวงการหนังหลังยุคโควิด

FEATURES

วิกฤตโควิด-19 แม้จะก่อวิกฤต แต่ในเวลาเดียวกันก็ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายอย่างกับธุรกิจภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจสตรีมมิ่งที่ได้รับอานิสงส์จากการที่โรงภาพยนตร์ทั่วโลกถูกปิด หรือการที่ค่ายภาพยนตร์ขนาดใหญ่ของฮอลลีวูดเริ่มเล็งเห็นความสำคัญของการจัดจำหน่ายออนไลน์ในฐานะช่องทางใหม่ในการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม หากลองพิจารณาให้ดี จะพบว่า การเปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่า “วิถีใหม่” ได้เกิดขึ้นกับธุรกิจภาพยนตร์โลกมาสักระยะหนึ่งแล้ว สังเกตได้จากความนิยมในช่องทางสตรีมมิ่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในหลายประเทศ จนคำว่า NETFLIX กลายเป็นชื่อประจำบ้านของหลายๆ ครอบครัว หรือสัดส่วนของผู้ชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น  ดังนั้น การเกิดขึ้นของวิกฤตโควิด 19 จึงเปรียบเสมือนตัวเร่ง ที่ทำให้ความเปลี่ยนแปลงกลายรูปแบบเป็นวิถีใหม่ที่สมบูรณ์เร็วขึ้น

คำถามที่ตามมาก็คือ วงการภาพยนตร์ไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงสำคัญควรปรับตัวรับวิถีใหม่อย่างไร ผู้เขียนขอเสนอแนวทางดังต่อไปนี้

  1. การให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ หากพิจารณาความสำเร็จภายในประเทศและในต่างประเทศของภาพยนตร์เกาหลีใต้เรื่อง Parasite กับภาพยนตร์ไทยเรื่อง ฉลาดเกมโกงให้ดี จะพบว่า ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องมีจุดร่วมที่เหมือนกันคือ ต่างนำเสนอเนื้อหาที่ก้าวข้ามการรับรู้ของผู้ชมภายในประเทศ ไปสู่การเปิดโอกาสให้ผู้ชมทั่วโลกได้เข้าถึงและรู้สึกแบบเดียวกับผู้ชมในประเทศต้นทางของภาพยนตร์รู้สึก ในภาพยนตร์เรื่อง Parasite ประเด็นที่เด่นชัดมากคือ ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้คนทั้งโลกกำลังประสบอยู่ ในขณะที่ฉลาดเกมส์โกง ตีแผ่ปัญหาเรื่องระบบการศึกษาที่เอื้อโอกาสให้คนบางกลุ่มแสวงหาโอกาสโดยทุจริต

ดังนั้นผู้สร้างภาพยนตร์ในวิถีใหม่จึงควรพิถีพิถันในการพัฒนาเนื้อเรื่องที่ไม่ได้ตอบโจทย์แค่ความต้องการขอผู้ชมภายในประเทศเท่านั้น แต่ต้องยกระดับตัวเองขึ้นเป็นภาพยนตร์ของโลกด้วยการพูดภาษาเดียวกันคนดูทั้งโลก เป็นภาษาที่สื่อสารด้วยประเด็นที่คนทั้งโลกรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า ปัจจุบันพรมแดนแห่งความแตกต่างที่กั้นรสนิยมของผู้คนแต่ละประเทศเริ่มเลือนหายเข้าทุกที กลายเป็นว่าสิ่งที่เป็นกระแสในซีกโลกหนึ่ง จะได้รับการตอบรับจากอีกซีกโลกหนึ่งในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นการสร้างภาพยนตร์ที่ทุกคนในโลกใบนี้เข้าถึงได้ จะช่วยทำให้ภาพยนตร์มีชีวิตอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เริ่มต้นและจบเพียงแค่การฉายภายในประเทศเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการจะสร้างคอนเทนต์ในลักษณะนี้ได้ ผู้สร้างภาพยนตร์ จะต้องใส่ใจกับความเป็นไปในโลกเป็นพิเศษ คอยตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบอยู่เสมอว่า โลกในตอนนี้กำลังพูดถึงอะไรกันอยู่ และประเด็นแบบไหนที่ผู้คนทั่วโลกรู้สึกเป็นพิเศษ จากนั้นถึงพัฒนาเรื่องที่สอดคล้องกับเทรนด์ที่เกิดขึ้น

2. การพัฒนาคุณภาพการผลิต เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากเนื้อหาของภาพยนตร์แล้ว ตัวชี้วัดคุณภาพที่สำคัญของภาพยนตร์เรื่องหนึ่งก็คือ คุณภาพการผลิต ในภาวะที่คนดูมีทางเลือกในการเสพความบันเทิงอย่างไม่จำกัดผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ออนไลน์ หรือโรงภาพยนตร์ คุณภาพในการผลิตก็มีผลสำคัญในการทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตาม คุณภาพทางการผลิตย่อมสัมพันธ์กับต้นทุนการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจะช่วยทำให้ผู้ผลิตภาพยนตร์สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นสิ่งที่ผู้สร้างภาพยนตร์ควรปรับตัวในช่วงเวลานี้ คือการแสวงหาแหล่งทุนเพิ่มเติม แทนที่จะจำกัดงบแล้วผลิตผลงานตามงบที่ตั้งไว้ อาจเป็นในรูปของการร่วมผลิตระหว่างบริษัทสร้างภาพยนตร์ภายในประเทศด้วยกันเอง และการแสวงหาแหล่งทุนจากต่างประเทศ โดยในส่วนหลัง ภาครัฐอาจให้การส่งเสริมด้วยการเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนผลิตภาพยนตร์ไทย โดยให้ผลประโยชน์ตอบแทนในเรื่องของการคืนภาษี (ในลักษณะเดียวกับที่เชิญชวนให้บริษัทต่างชาติเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในเมืองไทย

3. ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ นอกจากคิดเนื้อหาภาพยนตร์ที่สอดคล้องกับความเป็นไปของโลก และการใส่ใจเรื่องคุณภาพการผลิตภาพยนตร์ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องตระหนักไปพร้อม ๆ กันก็คือ ช่องทางการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ หากเป็นในอดีตวงจรชีวิตของภาพยนตร์เรื่องหนึ่งถูกกำหนดผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่ชัดเจน เริ่มตั้งแต่โรงภาพยนตร์  ต่อด้วยช่องทางวิดีโอ (ดีวีดี) แล้วจบลงที่โทรทัศน์ แต่ในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ได้เกิดช่องทางใหม่ ๆ ขึ้น อย่างไรก็ตาม การเกิดวิกฤตโควิด-19  ทำให้โรงภาพยนตร์ที่เคยเป็นช่องทางหลักและแหล่งรายได้หลักต้องยุติบทบาทลงชั่วคราว  กลายเป็นช่องทางใหม่อย่าง Premium VOD ที่ผู้ชมสามารถเลือกชมภาพยนตร์ที่บ้านผ่านการสตรีมมิงแบบเสียค่าชมได้รับความนิยมแทนที่ จนทำให้ค่ายภาพยนตร์หลายแห่งในอเมริกาเริ่มเล็งเห็นความสำคัญของช่องทางนี้ว่าจะเป็นแหล่งรายได้สำคัญในอนาคต จริงอยู่แม้ว่าในเมืองไทยความเปลี่ยนแปลงลักษณะดังกล่าว จะยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสายธารแห่งความเปลี่ยนแปลงอาจไหลเข้าสู่ประเทศไทยเข้าสักวันหนึ่งก็เป็นได้

ด้วยเหตุนี้ ผู้สร้างภาพยนตร์จึงต้องจับตาความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะรูปแบบของธุรกิจเปลี่ยนไปย่อมหมายถึง ฐานผู้ชมและรสนิยมการบริโภคที่ไม่เหมือนเดิมด้วย ซึ่งแน่นอนว่า สำหรับผู้ผลิตภาพยนตร์ ฐานผู้ชมและรสนิยมการบริโภคถือหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการพิจรณาสร้างภาพยนตร์สักเรื่อง

จนถึงตอนนี้ ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นอีกกับธุรกิจภาพยนตร์ แต่ตราบใดที่ผู้ผลิตยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และปรับตัวเองตามวิถีใหม่ โดยไม่ทิ้งหลักการเบื้องต้น คือการพาคนดูหนีโลกแห่งความเป็นจริงที่โหดร้ายในช่วงเวลาหนึ่ง ตราบนั้นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นก็จะยังคงเป็นที่ต้องการของผู้ชมอยู่ดี

Writerภาณุ
ภาณุ อารีจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และภาพนิ่งในปี 2538 จากนั้นได้ทำงานเป็นช่างบันทึกเสียงให้กับภาพยนตร์ไทย 2 เรื่องได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง คู่กรรม ภาค 2 และ เพื่อเพื่อน เพื่อฝัน เพื่อวันเกียรติยศ ก่อนที่จะทำงานเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิหนังไทย ทำหน้าที่ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวภาพยนตร์ไทยในอดีต

ขณะเดียวกัน ภาณุ ได้ผลิตภาพยนตร์สารคดีขนาดสั้นและยาวหลายเรื่อง โดยในจำนวนนี้รวมถึงภาพยนตร์สารคดีสั้นเรื่อง “กาลครั้งหนึ่ง” (2543) ได้รับเลือกเข้าฉายที่เทศกาลภาพยนตร์ฮ่องกง ปี 2000 ภาพยนตร์เรื่อง “น้ำใต้ท้องเรือ” (2544) ซึ่งได้รับเลือกให้เป็น 100 หนังไทยที่คนไทยควรดู โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2543 ภาพยนตร์สารคดีขนาดยาว เรื่อง มูอัลลัฟ (2551) และ เบบี้ อาราเบีย (2553) ซึ่งทั้งสองเรื่อง

ภาณุได้ร่วมกำกับกับ ก้อง ฤทธิ์ดี และกวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ และได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ แวนคูเวอร์ เทศกาลภาพยนตร์สารคดียามากาตะ เทศกาลภาพยนตร์ฮาวาย เทศกาลภาพยนตร์ปูซาน เป็นต้น

ปัจจุบันภาณุ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศ บริษัทสหมงคลฟิล์ม และเป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชา ธุรกิจภาพยนตร์ และ การผลิตภาพยนตร์สารคดี ที่ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต , มหาวิทยาลัยบูรพา ,มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ,และมหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นนักเขียนประจำอยู่ที่ Film Club

ในปี พ.ศ. 2560 ภาณุ ได้รับรางวัล ปีติสันติธรรม จากสถานบันปรีดี พนมยงค์

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง