มีวิธีคัดเลือกคนเข้าทำงานที่น่าสนใจ และอาจมีหลายองค์กรใช้วิธีนี้ เป็นการบอกเล่าจาก ‘เจสสิก้า นีล’ อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของเน็ตฟลิกซ์ ที่เคยมีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่กลายเป็นหนึ่งในต้นแบบที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลกธุรกิจยุคใหม่
เธอเขียนบทความให้กับเว็บไซต์สำนักข่าว CNBC เล่าถึงสมัยที่ยังทำงานที่เน็ตฟลิกซ์ และต้องสัมภาษณ์คัดเลือกพนักงานเข้าทำงาน เนื้อหาที่เธอเล่า น่าคิดและน่าลองเอาไว้ใช้สังเกตหรือทำตามได้บ้างไม่มากก็น้อย
เจสสิก้า เล่าว่าว่า ตัวเธอมีวิธีสังเกตคนแบบทีเผลอกันตั้งแต่ล็อบบี้ที่นั่งรอเรียกสัมภาษณ์ และทำให้อ่านขาดในหลายครั้งว่าคนๆ นี้ควรรับเข้ามาทำงานหรือไม่
โดยเธอมักจะถาม ‘พนักงานต้อนรับ’ ที่เน็ตฟลิกซ์ว่า “ช่วยบอกหน่อยว่าใคร (ผู้สมัครที่เข้ามารอสัมภาษณ์) ใครดูเป็นคนแย่ๆ ไม่น่ารัก หรือทำตัวไม่มีมารยาทในสายตาคุณ?”
และนี่คือหนึ่งในเครื่องมือที่เจสสิก้าบอกสุดจะทรงพลังในการคัดเลือกคนเข้าร่วมทีม และเป็นบทเรียนสำคัญที่เปลี่ยนวิธีคิดของเธอเองในฐานะผู้นำด้วยเช่นกัน
ช่วงแรกของชีวิตการทำงาน เจสสิก้ายอมรับว่า มักจะตัดสินคนจากภาพลักษณ์ภายนอก ถ้าใครดูฉลาด พูดเก่ง มีความมั่นใจ ก็จะประทับใจ และเชื่อแบบเต็มหัวใจว่า คนเก่ง = เพื่อนร่วมทีมที่ดี
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เธอเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า “คนเก่งแต่ยาก” ประเภทเก่งแต่อีคิวไม่ดี เก่งมากแต่ทำงานด้วยยาก หรือฉลาดแต่เข้ากับคนอื่นไม่ง่าย นั่นแหละที่กลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงที่สุดในทีม ไม่ว่าจะเรื่องความสัมพันธ์ บรรยากาศการทำงาน หรือแม้แต่วัฒนธรรมองค์กร
เจสสิก้าเลยเริ่มมองหาวิธีใหม่ๆ ในการคัดคนเข้าทำงานเพื่อมองให้ทะลุสิ่งที่เรียกว่า “ความเพียบพร้อมภายนอก”
นำมาสู่สิ่งที่เรียกว่า “บททดสอบล็อบบี้”
เพราะในห้องสัมภาษณ์ ทุกคนเตรียมตัวมาอย่างดี ผู้สมัครทุกคนซ้อมคำตอบมาเป๊ะ รู้ว่าจะต้องพูดอะไรเพื่อสร้างความประทับใจ แต่ระหว่างที่พวกเขาต้องรอเรียกสัมภาษณ์ในล็อบบี้หน้าห้อง อันนั้นล่ะ มันคือโลกอีกใบ
และคนที่จะเห็นหมด ก็คือ พนักงานต้อนรับ จะเห็นหมดว่าใครสบตา ใครยิ้มทักทาย ใครออกท่ารำคาญ ใครดูใจดี ใครแสดงความหงุดหงิด
เจสสิก้าบอกว่า เธอจะถามเหล่าพนักงานต้อนรับหลังจบการสัมภาษณ์เสมอว่า “ผู้สมัครคนนั้นคนนี้ปฏิบัติกับคุณยังไงบ้าง?” และคำตอบนั้นก็มักจะตรงกับนิสัยจริงๆ ของผู้สมัครเสมอซะด้วย
“ฉันจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งมีผู้สมัครคนหนึ่งแสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจนเพียงเพราะบัตร Visitor ผู้มาติดต่อที่อยู่ระหว่างจัดทำนั้นช้าไปนิดเดียว และยังมีบางคนที่ทำท่าถอนหายใจเสียงดังใส่พนักงานต้อนรับเพราะการที่ไม่ได้อำนวยความสะดวกเรื่องที่จอดรถ ซึ่งในห้องสัมภาษณ์ทั้งคู่ฉลาดมาก แต่มันชัดเจนว่าเราคงไม่ควรให้เขาเข้ามาในทีม” เจสสิก้า เขียนเล่าไว้ในบทความ
“ในขณะเดียวกัน ฉันก็เคยเจอผู้สมัครเงียบๆ ที่ยิ้มให้ ถามสารทุกข์สุขดิบพนักงานต้อนรับ ขอบคุณก่อนออกไป คนแบบนี้มักจะเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจ และมีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง”
เธอบอกว่าและนี่คือสิ่งที่มองหาอันดับหนึ่งในตัวผู้สมัคร
ตอนแรกเธอยังคิดด้วยซ้ำว่า “บททดสอบล็อบบี้” มีไว้แค่กรองคนหยาบคาย แต่ไม่นานก็ได้รู้ว่ามันสะท้อนสิ่งที่ลึกกว่านั้นมาก นั่นคือ “ความตระหนักรู้ในตนเอง” (self-awareness)
เจสสิก้า พูดน่าคิดว่า คนที่สอบตกบททดสอบนี้ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนไม่ดีเสมอไป แต่เพราะเขาไม่รู้ตัวต่างหากว่า พฤติกรรมหรือพลังงานของเขาส่งผลต่อคนอื่นยังไง
“พวกเขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า แค่การทำเฉย การไม่สบตา หรือความไม่ใส่ใจ ก็สร้างพลังลบที่ทำลายความไว้ใจในทีมได้แล้ว”
ที่ Netflix เราเคยพูดว่า “ไม่รับคนฉลาดที่นิสัยแย่” ซึ่งเจสสิก้าบอกว่า ขอเติมไปอีกว่า “แม้แต่คนฉลาดที่ไม่รู้ตัวเอง ก็สร้างความเสียหายได้”
“เพราะคุณไม่มีวันแก้ไขสิ่งที่คุณไม่ยอมรับว่ามันมีอยู่จริง ซึ่งบุคลิกตอนไม่มีใครมอง บอกได้ทุกอย่าง วิธีที่คนๆ หนึ่งปฏิบัติต่อคนที่เขาคิดว่าไม่สำคัญ มักสะท้อนว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อทุกคนยังไงเมื่อไม่มีใครจับตาอยู่”
เจสสิก้า เล่าต่อว่า ถ้าเขาหยาบคายกับพนักงานต้อนรับ วันหนึ่งเขาอาจหยาบคายกับเพื่อนร่วมทีม สร้างลำดับชนชั้นที่บั่นทอนวัฒนธรรม และอาจผลักคนเก่งที่สุดขององค์กรให้ออกไปแบบเงียบๆ
ในทางกลับกัน คนที่มี self-awareness จะสังเกตเห็นผลกระทบที่ตัวเองสร้าง พวกเขาปรับตัวได้ และไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นใคร ซีอีโอ หรือพนักงานหน้าเคาน์เตอร์เขาก็จะให้เกียรติเท่าเทียมกัน
“เพราะผู้นำที่ดีที่สุดที่ฉันเคยร่วมงานด้วย ไม่ใช่แค่คนที่เก่งที่สุด แต่คือคนที่เข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อนของตัวเอง กล้ารับผิดเมื่อพลาด และสังเกตเห็นเมื่อใครบางคนในห้องรู้สึกไม่มีตัวตน”
“สิ่งเหล่านี้แหละที่สร้างความไว้วางใจในทีม และความรู้สึกปลอดภัยที่แท้จริง ไม่ใช่แค่มาพูดเป็นนโยบาย แต่เราได้เห็นในพฤติกรรมจริง”
เจสสิก้าเขียนทิ้งท่้ายว่า สิ่งที่เธออยากจะบอกกับผู้สมัครงานทุกคนคือ เวลารอสัมภาษณ์ อย่ามัวแต่ก้มหน้ากดมือถือ ลองยิ้ม ลองสูดลมหายใจ ลองรู้สึกสัมผัสกับสภาพแวดล้อมรอบตัว ทักทายและขอบคุณทุกคน แม้จะเป็นคำสั้นๆ แต่มันอาจมีพลังมากกว่าประวัติการทำงานบนเรซูเม่
และเมื่อมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาระหว่างรอสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะมาช้ารถติด ระบบรวนจงใช้มันเป็นโอกาสแสดง “ความใจเย็นและความเมตตา”
ผู้คนอาจลืมว่าเราพูดอะไร แต่พวกเขาจะไม่ลืมว่าเรา “ทำให้เขารู้สึกยังไง”
เรียกว่าตัวตนของคุณในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างรอสัมภาษณ์งานอาจเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของตัวตนคุณในช่วงเวลาสำคัญ
เล่ามาถึงตรงนี้จากบทความของ เจสสิก้า นีล ที่เธอมาเผยไต๋วิธีคัดเลือกคนเข้าทำงาน ถ้าว่ากันตามจริงอาจทำให้ใครใช้วิธีสร้างภาพใจดีมีมารยาทแกล้งๆ ไปอย่างนั้นก็ได้
แต่ก็ถือว่านี่เป็นเรื่องเล่าที่น่าสนใจถึงหน่ึงในบทเรียนสำคัญที่สุดของการสัมภาษณ์งานว่า การจะได้งานหรือไม่ได้งานนั้น อาจไม่ต้องอยู่ในห้องสัมภาษณ์เลยก็ได้นั่นเอง และอย่ามองข้าม “ช่วงเวลาสั้นๆ” เพราะมันบอกทุกอย่างเกี่ยวกับตัวคุณได้เช่นกัน










