เศรษฐกิจจีนฝืดกว่าที่คิด ต่างชาติลงทุนลดลง 51% กำลังใช้จ่ายกำลังอ่อนแอ

เศรษฐกิจจีนฝืดกว่าที่คิด ต่างชาติลงทุนลดลง 51% กำลังใช้จ่ายกำลังอ่อนแอ

สถานการณ์ปัจจุบันของประเทศจีนอาจแย่กว่าที่คิด เพราะภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศเผชิญปัญหาหลายเรื่อง ทั้งจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่หดตัว, ความต้องการของผู้บริโภคที่อยากใช้จ่ายไม่เท่าเดิม และยังมีวิกฤตเดิมจากสงครามภาษีที่สาดกันไปมากับสหรัฐอเมริกา

Zhang Zhiwei หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Baoyin Capital Management เตือนว่า จีนเจอปัญหาใหญ่จากภาคการส่งออกซึ่งได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่ปรับเพิ่มของนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้จีนจำเป็นต้องพึ่งพาการบริโภคภายในเพื่อประคองเศรษฐกิจตัวเอง

หากดูข้อมูลศุลกากรประจำเดือนตุลาคมเผยว่า ยอดส่งออกของจีนเริ่มส่งสัญญาณเตือน เพราะการส่งออกลดลง 1.1% ซึ่งเป็นตัวเลขที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเพราะสินค้าจีนที่ส่งไปสหรัฐฯ ลดลงกว่า 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ขณะที่การส่งออกไปตลาดสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้นแค่ 0.9% ส่วนในอาเซียนอยู่ที่ 11% ยังทดแทนตลาดสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดหลักมาตลอดไม่ได้

รายงานของ Nikkei Asian Review ชี้ให้เห็นว่า ภาพรวมเศรษฐกิจจีนกำลังถดถอย ซึ่งผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่แท้จริงเติบโตเพียง 4.8% ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ชะลอตัวลงจากการเติบโตที่ 5.2% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนหนึ่งเพราะอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ จากภาวะตกต่ำของภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนในประเทศ โดยยอดนำเข้าของจีนยังเติบโตเพียง 1% ถือเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 5 เดือน

ซึ่งสินค้าที่นำเข้าลดลงอย่างชัดเจน ก็คือ ทองแดง จากภาคการก่อสร้างที่ยังซบเซา เพราะปัญหาของตลาดอสังหาฯ ที่ยังไม่ฟื้น ขณะเดียวกันราคาทองแดงสูงขึ้น เกินกว่าที่การบริโภคส่วนใหญ่ต้องการ

[ ลงทุนจากต่างประเทศลดลง ต่างชาติยังใช้จ่ายไม่เต็มที่ ]

ความกังวลเรื่องนี้เพิ่มความรุนแรงชัดเจน หลังจากที่ นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง กล่าวกล่าวสุนทรพจน์ในงาน “China International Import Expo” ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อไม่กี่วันก่อน โดยให้คำมั่นว่าจะทำให้จีนกลับมาเป็นจุดหมายปลายทางที่บริษัทต่างชาติอยากเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น

“เราพยายามจะดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้จีนเป็นประเทศเป้าหมายยอดนิยมสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ และทำให้ธุรกิจต่างชาติมั่นใจ สะดวกสบาย และสบายใจที่เข้ามาทำธุรกิจในจีน ที่สำคัญคือเพื่อให้เกิดผลประโยชน์แบบ win-win”

โดยสถานการณ์ตอนนี้คือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในจีนยังคงลดลงเรื่อยๆ โดยช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ลดลง 51% เหลือ 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศ และยังมีแนวโน้มที่บริษัทต่างชาติจะยังลดลงอยู่ต่อไป

ก่อนหน้านี้ CNBC ได้รายงานเรื่องการลงทุนที่ ‘ไม่เท่าเทียม’ ที่เกิดขึ้นในจีน โดยหลายบริษัทต่างชาติมองว่า กฎระเบียบและข้อจำกัดหลายอย่างไม่เป็นธรรม เช่น มาตรการการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐที่ไม่ชัดเจน และการเปิดกว้างให้ธุรกิจต่างชาติสามารถเข้าลงทุนในภาคการศึกษาและวัฒนธรรม, โทรคมนาคม ได้มากขึ้น เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีบริษัทต่างชาติที่ลงทุนในจีนเผชิญปัญหา จนต้องออกจากตลาดไป อย่างกรณี ‘SAS Institute’ บริษัทซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลรายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ตัดสินใจถอนตัวออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเลิกจ้างพนักงานประมาณ 400 คน

หรือ ‘สตาร์บัคส์’ ที่เพิ่งประกาศว่า Boyu Capital กองทุนเพื่อการลงทุนในประเทศ จะเข้าซื้อหุ้นสูงสุด 60% ในธุรกิจค้าปลีกในจีน ส่วนสตาร์บัคส์จะยังคงถือหุ้น 40% รวมทั้งยังคงเป็นเจ้าของและอนุญาตให้ใช้แบรนด์สตาร์บัคส์ในตลาดจีน

การเปลี่ยนแปลงในจีนรวมทั้งปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น สตาร์บัคส์ จำเป็นต้องปรับโครงสร้างธุรกิจด้วยเงินทุนท้องถิ่น ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีแพลนที่จะถอนตัวออกจากตลาด โดยจีนยังเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ของโลก

ตลาดจีนจะเป็นอย่างไรต่อไป และจะมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภายในมากน้อยแค่ไหน รวมถึงวิธีการรับมือกับการลงทุนจากต่างประเทศที่ลดลง คงต้องรอดู แผนพัฒนา 5 ปี (2026-2030) ฉบับที่ 15 ซึ่งเป็นฉบับเต็มในเดือนมีนาคมปี 2026

แต่ที่แน่ๆ กรอบใหญ่ที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง สะท้อนออกมาบ่อยๆ ก็คือ ต้องพึ่งพาตนเองในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงมุ่งส่งออกเพิ่มไปยังตลาดที่ยังมีศักยภาพ อย่างอาเซียนและยุโรป ให้มากขึ้นนั่นเอง

แท็กที่เกี่ยวข้อง
Prakaiporn WriterPrakaiporn

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง
เศรษฐกิจจีนฝืดกว่าที่คิด ต่างชาติลงทุนลดลง 51% กำลังใช้จ่ายกำลังอ่อนแอ