ประเทศไทยเข้าสู่ช่วงไตรมาส 4 ก่อนปิดท้ายปี 2568 การพัฒนาและวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศ เม็ดเงินลงทุนที่ดึงดูดเข้ามาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะ FDI (การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ) เป็นตัวชี้วัดศักยภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมได้
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยตัวเลขล่าสุดช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติในไทยสูงถึง 253,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ถึง 118,000 ล้านบาท หรือราว 88%
ที่น่าสนใจคือ ถ้าดูในแง่ของ ‘มูลค่าการลงทุน’ สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด แซงหน้าญี่ปุ่น หากจัดอันดับจากมูลค่าการลงทุน 5 ประเทศที่ลงทุนหนักที่สุดในไทย ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่
-
สิงคโปร์ ลงทุน 86,550 ล้านบาท ส่วนอุตสาหกรรมที่ลงทุนเยอะที่สุด คือ
- ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อผลิตชิ้นส่วนของใช้ครัวเรือน สุขภัณฑ์
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับสัญญาณโทรคมนาคมและระบบวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งาน
- ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษาสินค้าประเภทนาฬิกา
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า โดยเฉพาะเบาะนั่งรถยนต์ และเบาะนั่งของเครื่องจักรกล, บรรจุภัณฑ์จากเศษวัสดุการเกษตร, Printed Circuit Board และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม
-
ญี่ปุ่น ลงทุน 76,397 ล้านบาท อุสาหกรรมที่ลงทุนมากที่สุด คือ
- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบแม่พิมพ์และอุปกรณ์สำหรับการผลิตยานยนต์ การให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับกระบวนการผลิตยานยนต์
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย หรือให้บริการ
- ธุรกิจบริการรับจ้างประกอบและผลิตผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ตัดไฟแรงดันสูง
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น อุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับใช้กับเครื่องจักร เหล็กแผ่นเคลือบ หม้อแปลงไฟฟ้าแบบใช้น้ำมัน และชิ้นส่วนเครื่องจักรสำหรับงานก่อสร้าง
-
จีน ลงทุน 21,925 ล้านบาท ในอุตสาหกรรม ดังนี้
- ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อการผลิตถ่านกัมมันต์
- ธุรกิจบริการรับจ้างประกอบยางล้อรถยนต์
- ธุรกิจบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการทดสอบชิ้นส่วน หรือส่วนประกอบของอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น แม่พิมพ์, Flexible Printed Circuit Board, ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป และชิ้นส่วนเหล็กทุบขึ้นรูป
-
ฮ่องกง ลงทุน 12,624 ล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่ทุ่มเงินมากที่สุด คือ
- ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อทำเครื่องเรือนและเครื่องใช้สอย จากไม้ไผ่และไม้
- ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทย
- ธุรกิจบริการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง ประเภทไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป คอมเพรสเซอร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนโลหะ และอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบนิวเมติกส์
-
สหรัฐอเมริกา ลงทุน 4,368 ล้านบาท ในอุตสาหกรรม ดังนี้
- ธุรกิจกิจการนายหน้า หรือตัวแทนในการจัดหาผู้ให้บริการด้านการผลิตสินค้า
- ธุรกิจโฆษณา
- ธุรกิจบริการให้คำปรึกษา แนะนำเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษา ค่าใช้จ่าย การเดินทาง และที่พักระหว่างการศึกษาต่อ
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์, DC Cable, และโลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ
ในข้อมูลของกรมพัฒนาฯ ได้แชร์เกี่ยวกับ ‘จำนวนนักลงทุน’ ใน 5 อันดับแรกด้วย ซึ่งในแง่จำนวน ‘ญี่ปุ่น’ จะเป็นแชมป์ตลอดกาลของไทยที่มีจำนวนนักลงทุนที่เข้ามามากที่สุด ได้แก่
-
ญี่ปุ่น 142 ราย คิดเป็น 18% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย
-
สหรัฐฯ 116 ราย คิดเป็น 15% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย
-
สิงคโปร์ 108 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย
-
จีน 99 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย
-
ฮ่องกง 82 ราย คิดเป็น 11% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย
[ ลงทุนในไทยเพิ่ม การจ้างงานคนไทยก็เพิ่มด้วย ]
นอกจากนี้ กรมพัฒนาฯ ยังเผยอีกว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง กันยายน 2568 การให้ใบอนุญาตคนต่างชาติเขามาลงทุนในไทย เพิ่มขึ้น 134 ราย หรือประมาณ 21% อยู่ที่ 770 ราย เทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2567 ที่มี 636 ราย
ขณะเดียวกัน การจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ก็เพิ่มขึ้นเช่นกันที่ 2,631 คน หรือเพิ่ม 105%
โดยมีจำนวนการจ้างงานอยู่ที่ 5,132 คน เทียบกับปี 2567 ที่มีการจ้างงาน 2,501 คน ซึ่งจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดในแง่การขอใบอนุญาต ยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่น
ด้าน พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้กล่าวด้วยว่า นักลงทุนต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่สนใจพื้นที่เศรษฐกิจ EEC โดยช่วง 9 เดือนแรก มีนักลงทุนที่อยากลงทุนกว่า 222 ราย คิดเป็น 29% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย
ส่วนมูลค่ากสารลงทุนในพื้นที่ EEC ในช่วง 9 เดือนแรก 2568 คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมดที่เข้าไทย 82,264 ล้านบาท
โดยนักธุรกิจจาก ‘จีน’ สนใจพื้นที่ EEC มากที่สุด 55 ราย ตามด้วย ‘ญี่ปุ่น’ 52 ราย และ ‘สิงคโปร์’ 26 ราย ส่วนใหญ่จะเป็นการเข้ามาลงทุนด้าน บริการทางวิศวกรรม, บริการ Data Center, การผลิตภัณฑ์โลหะ/ชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป, ผลิตภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล และ การแปรรูปไม้ เป็นต้น
การไหลของเงินลงทุนที่เข้ามา นอกจากจะช่วยให้เศรษฐกิจในภาพรวมแข็งแรงขึ้น ช่วยเพิ่ม GDP ของประเทศได้ อัตราการว่างงานลดลง ช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่เหรียญมีสองด้านเสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้หากบริหารจัดการไม่ดี ก็เสี่ยงส่งผลต่อช่องว่างทางรายได้ของคนในประเทศให้เกิดความเหลื่อมล้ำได้เช่นกัน










