ใช้สิทธิ์ ‘คนละครึ่ง’ จ่ายผ่าน ฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม เริ่มตั้งแต่ 4 ต.ค. นี้
วันที่ 4 ต.ค.นี้ เป็นวันแรกที่ประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ จะสามารถใช้สิทธิซื้ออาหารและเครื่องดื่มจากร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการ ฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม Grab และ LINEMAN เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00 – 20.00 น. ของทุกวัน
โดยมี 4 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
1. เข้าแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ กดแถบแบนเนอร์ (Banner) ฟู้ดเดลิเวอรี่ในหน้าแรก หรือสามารถเข้าผ่าน g-Wallet กด Banner โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 หรือโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ แล้วจึงกด Banner ฟู้ดเดลิเวอรี่
2 กด ‘สั่งผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม’ บนแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ แล้วจึงเลือกผู้ให้บริการฟู้ด เดลิเวอรี่แพลตฟอร์มที่ต้องการใช้งาน หรือสามารถกด ‘ค้นหาเมนูหรือร้านอาหาร’ เพื่อเลือกซื้ออาหาร/เครื่องดื่มได้
3 หลังจากเลือกตามข้อ 2 ระบบจะเชื่อมไปที่แอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มเพื่อสั่งอาหาร/เครื่องดื่มจากร้านอาหาร/เครื่องดื่มที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยประชาชนจะต้องชำระค่าส่งที่แอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มก่อน
4 ประชาชนจะได้รับการแจ้งเตือนให้ชำระค่าอาหาร/เครื่องดื่มบน g-Wallet และกดปุ่มชำระค่าอาหาร/เครื่องดื่มพร้อมใช้สิทธิผ่าน g-Wallet โดยต้องชำระเงินภายใน 5 นาที
ผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการฯ ที่ประสงค์จะขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม สามารถสมัครผ่านแอปพลิเคชัน ‘ถุงเงิน’ ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. 2564 เป็นต้นไป โดยสามารถเลือกเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มเพื่อขายอาหารและเครื่องดื่มตามโครงการฯ ได้เพียงรายเดียว ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ กว่า 30,000 รายแล้ว
ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2564 และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ยังสามารถลงทะเบียนอย่างต่อเนื่องได้ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 ของทุกวัน จนกว่าจะครบ 28 ล้านสิทธิ์
กระทรวงการคลัง เปิดเผยข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.ย. 2564 โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิ์สะสมจำนวน 24.32 ล้านราย จากผู้เข้าร่วมโครงการรวม 27 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 67,468.5 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายสะสม 34,333.4 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 33,135.1 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้สิทธิ์ครบ 1,500 บาท ประมาณ 10 ล้านราย










