กระแสที่ผ่านมามีการแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานของกลุ่มคน Gen Z มากขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งที่บอกว่าทำได้หลากหลาย และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และก็บอกว่าคน Gen Z ไม่อดทนต่อการทำงาน โดยเฉพาะทอปปิคใหญ่อย่างเรื่องระยะห่างระหว่างเจน หรือ ‘Generation Gap’ ที่ Gen Z กับกลุ่มคนรุ่นใหญ่ในออฟฟิศมักถกเถียงกันบ่อยๆ ในโลกโซเชียล
อย่างเช่นคน Gen Z ไม่ชอบรับโทรศัพท์มือถือ แต่ Gen ก่อนหน้าก็ชอบโทรตาม หรือ Gen Z พูดและทำไปเลยให้มันสุด ซึ่ง Gen ก่อนหน้าก็มักมองว่าพฤติกรรมนี้มัน ‘โผงผาง’ มากเกินไป
[ การสื่อสารระหว่างเจนมีปัญหา ]
ความแตกต่างระหว่างเจนยิ่งเห็นชัดเข้าไปอีก โดยเฉพาะกับเรื่องของแนวคิด สมมุติว่ามีการมอบหมายงานชิ้นนึงให้ทำ สำหรับ Gen Z สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำคือ ทำความเข้าใจกับชิ้นงานเหล่านั้นว่า “ทำไปทำไม” โดยพยายามหาเป้าหมายมารองรับ
ขณะที่คน Gen เก่าพวกเขาจะโฟกัสไปที่กระบวนการทำงานเพื่อบรรลุความสำเร็จ พวกเขาจะคิดและหาทางว่าจะทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จได้ “อย่างไร” โดยยึดตามกระบวนการทำงาน จนถึงข้อคิดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
มีผลวิจัยจาก Slingshot Group บริษัทที่ปรึกษาทางด้านการพัฒนาบุคลากรและสร้างผู้นำให้บรรลุผลตามเป้าหมาย ชี้ให้เห็นว่ามีช่องว่างระหว่างเจเนอเรชั่นที่ชัดเจน โดยเฉพาะกับเรื่องของ ‘การสื่อสาร’ กว่า 48% ของ Gen Z ถามอะไรไปก็ต้องการข้อมูลป้อนกลับได้เลย อีกทั้งคน Gen Z ยังชอบฟังฟีดแบคการทำงานเป็นรายสัปดาห์อีกด้วย
ขณะที่ Gen เก่ามักชินกับการประเมินแบบทางการตามนัดหมายที่กำหนดเวลาไว้ และมักรอจนโปรเจกต์เสร็จจึงจะให้ข้อมูลป้อนกลับ ทำให้การมีส่วนร่วมในกิจกรรมเหล่านี้มีน้อยลง
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ที่สร้างปัญหาระหว่างเจนได้อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น Gen Z มองว่า เราควรที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่อิสระ คน Gen เก่ากลับมองว่าวิธีนี้ของคนเจนใหม่มันดูโผงผางไป ขณะที่คน Gen เก่าพยายามแบ่งปันประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่ Gen Z กลับมองว่าเหมือนการบรรยายให้ฟังมากกว่า
[ Gen Z ต้องยอมปรับ Gen เก่าก็ต้องยอมเปลี่ยน ]
และเพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก Business News Daily บอกไว้ว่าคนแต่ละเจเนอเรชั่นมีความต้องการที่แตกต่างกัน สำหรับคน Gen Z จะมีวิธีการเรียนรู้ที่ไม่เหมือนกัน บางคนแค่ดูวิดีโอการสอน บางคนอาจให้ความสำคัญกับการได้รับคำชื่นชม
ขณะที่คน Gen เก่าชอบการเรียนรู้และลงมือทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์มากกว่า และอาจให้ความสำคัญกับโบนัสด้วย
ด้วยความแตกต่างเหล่านี้ สะท้อนว่า ในช่วงวัยที่ต่างกันจึงมาพร้อมกับความแตกต่างในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร ความต้องการ วิธีการที่จะไปสู่การทำงานอย่างสันติ ซึ่งทั้ง 2 Gen จำเป็นต้อง ‘เปิดใจ’ แล้วปรับตัวเข้าหากัน รับฟังถึงความต้องการของกันและกัน หาทางออกที่เป็นแนวทางเดียวกัน เพื่อที่จะทำให้งานออกมาดีที่สุด
เพราะหากปัญหาเหล่านี้ถูกแก้ไข ไม่ว่าจะเจเนอเรชั่นไหนก็สามารถทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายและสร้างผลงานใหม่ๆ ที่ดีต่อองค์กรไม่น้อย ทั้งจาก Gen Z ที่มาพร้อมกับไอเดียพุ่งกระฉูด และ Gen เก่าที่เก๋าประสบการณ์ที่รู้ว่าหนทางไหนที่จะทำให้งานสำเร็จ และเกิดประโยชน์ต่อองค์กร










