พูดกันมาหลายต่อหลายครั้งว่า ‘Gen Z’ กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อตลาดแรงงานมีที่ทางจำกัด แต่เด็กจบใหม่กลับล้นเกินกว่าที่ตำแหน่งงานจะรับไหว เป็นเพราะอุปสงค์และอุปทานไม่สอดคล้องกันจริงๆ หรือมาจากเหตุผลอื่นที่ทำให้ ‘Gen Z’ ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดกันแน่ ?
บทความจากสำนักข่าว ‘The Wall Street Journal’ ชวนตั้งคำถามถึงประเด็นดังกล่าวว่า แท้จริงแล้ว คน ‘Gen Z’ ตกงานเพราะอะไรกันแน่ เธอได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับค่านิยมของคนแต่ละรุ่น โดยมุ่งเน้นไปที่ ‘Gen Z’ เป็นหลัก เพื่อทำการเปรียบเทียบกับคนรุ่นก่อนที่ขณะนี้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหรือผู้จัดการฝ่ายในบริษัท ซึ่งแน่นอนว่า คนกลุ่มนี้ก็คงไม่พ้น ‘Gen Y’ หรือ ‘Gen X’
ปรากฏว่า มี Gen Z เพียง 2% จากกลุ่มตัวอย่างเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับค่านิยมหลักของบริษัท นั่นคือความสำเร็จ การเรียนรู้ และความปรารถนาที่จะทำงานแบบไม่หยุดยั้ง ส่วนใหญ่แล้ว ‘Gen Z’ ให้ความสำคัญกับ ‘ความสุข’ และ ‘การดูแลตัวเอง’
จากนั้น เธอไปสำรวจความคิดเห็นของตำแหน่ง ‘ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล’ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญทั้งกับผู้สมัครงานและองค์กรที่กำลังต้องการคนที่ตรงกับความต้องการเข้ามาเติมทีม ด้วยโจทย์ที่ว่า คนแบบไหนเป็นที่ต้องการขององค์กรมากที่สุด
คำตอบของพวกเขา คือ คนที่ต้องการความสำเร็จและมองเห็นคุณค่าของคนอื่นไปพร้อมๆ กัน ถัดมาคือต้องเป็นคนที่อยากจะเรียนรู้ ลงมือทำ กระตือรือร้น ซึ่งคุณค่าพวกนี้เป็นส่วนที่ ‘Gen Z’ ยึดถือเป็นลำดับท้ายๆ และส่วนสุดท้ายที่ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องการจากผู้สมัคร คือ ‘Workcentism’ หรือการมองงานเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง
‘Suzy Welch’ ผู้ทำวิจัยนี้ บอกว่า บทสรุปดังกล่าวมักถูกต่อต้านจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่น้อย ด้วยคำถามที่ว่า การมุ่งตรงไปที่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวให้อะไรกับคนทำงานนอกจากความวิตกกังวล สุดท้ายใครกันแน่ที่ต้องแบกรับความกดดันเหล่านี้
แต่อย่าลืมว่า ทุกวันนี้การทำงานยังมีคนเจเนอเรชันก่อนหน้าครองตำแหน่งระดับบนๆ ด้วยวิธีคิดและค่านิยมที่ว่ามา อนาคตสิ่งเหล่านี้อาจถึงคราวเปลี่ยนแปลงก็ได้เมื่อเป็นคน ‘Gen Z’ เข้ามารับไม้ต่อ ทว่า ปัจจุบันตลาดแรงงานกำลังเผชิญกับความแตกต่างระหว่างรุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้เองต่างหากที่จะสร้างรอยร้าวให้กับการทำงานในปัจจุบัน
มองผิวเผินอาจคิดว่า นี่เป็นปัญหาระดับบุคคลและองค์กร แต่แนวโน้มของคน ‘Gen Z’ ที่เกิดขึ้น อาจสร้าง ‘บาดแผลระยะยาว’ ให้กับเศรษฐกิจได้มากกว่าที่คิด รายงานฉบับใหม่จาก ‘Oxford Economics’ เผยให้เห็นถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไป จากการที่ ‘Gen Z’ ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ ซึ่งรวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเมื่อกลุ่มคนเหล่านี้ยังต้องอาศัยพึ่งพิงกับพ่อแม่
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์จาก ‘Oxford Economics’ บอกว่า การมีคนรุ่นใหม่ในตลาดแรงงานถือเป็นปัจจัยสำคัญในการชี้วัดสุขภาพโดยรวมของเศรษฐกิจ เพราะคนกลุ่มนี้ยังไม่มีโอกาสสะสมความมั่งคั่ง จึงมีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมากกว่า ทั้งยังส่งผลต่อศักยภาพในการหารายได้ในระยะยาวด้วย
เมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานไม่ได้ ‘Hopping’ หรือการกระโดดไปงานอื่นๆ เพื่ออัปเงินเดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กจบใหม่อาศัยจังหวะในการเปลี่ยนงานเพื่อสร้างรายได้และหาประสบการณ์ให้ตนเอง ไซเคิลตรงนี้จะค่อยๆ สั้นลง การเติบโตของอัตราค่าจ้างก็ลดลงอย่างมากในกลุ่มคนทำงานอายุ 16-24 ปี
ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจ ตลาดแรงงาน หรือค่านิยมส่วนบุคคลของ ‘Gen Z’ รวมๆ แล้วนี่คงไม่ใช่สัญญาณบวกต่อคนรุ่นใหม่มากนัก ที่สำคัญ เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นทั่วโลก นี่คงเป็นโจทย์ที่องค์กรและผู้กำหนดนโยบายคงต้องมานั่งทบทวนกันอีกครั้งว่า เราจะปล่อยให้สถานการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไปแบบนี้จริงหรือ










