ผสานวัฒนธรรมส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ยืนยันส่งตัว ‘นูร ซาญัต” หญิงข้ามเพศมาเลเซียกลับไปรับโทษตามกฎหมานชารีอะห์ไม่ได้ ชี้มีสถานะผู้ลี้ภัยและไม่ใช่ความผิดในไทย
วันที่ 21 กันยายน 2564 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม นำโดยสุรพงษ์ กองจันทึก ส่งจดหมายเปิดผนึกให้นายกรัฐมนตรี กรณีสื่อมาเลดีข่าว หญิงข้ามเพศมาเลเซียถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองประเทศไทยจับกุมและเตรียมประสานส่งกลับมาเลเซียเพื่อดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายชารีอะห์หลังเธอถูกกล่าวหากล่าวหมิ่นศาสนาอิสลามโดยแต่งหญิงเข้าร่วมพิธีทางศาสนา
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมยืนยันว่ารับบาลต้องเคารพสถานะผู้ลี้ภัย รัฐบาลต้องรับรองความปลอดภัย และไม่มีกฎหมายใดกำหนดให้รัฐบาลไทยต้องส่งตัวเธอไปเผชิญภัยอันตรายมาเลเซีย เนื่องด้วยไม่ได้เป็นความผิดทางกฎหมายประเทศไทยและเสี่ยงต่อการเสียอธิปไตยทางศาล
ข้อเรียกร้องในจดหมายเปิดผนึกต่อนายกรัฐมนตรีมี 4 ข้อดังนี้
- นูร ซาญัต มีสถานะเป็นผู้ลี้ภัย กำลังอยู่ระหว่างเตรียมการเดินทางไปประเทศที่สาม จึงมีสิทธิอาศัยอยู่ชั่วคราวในประเทศไทย รัฐบาลต้องดูแลให้ความปลอดภัยจนกว่าจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศที่สาม
- ประเทศมาเลเซียไม่สามารถขอตัว นูร ซาญัต ไปดำเนินคดีในประเทศมาเลเซียได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายให้อำนาจประเทศไทยในการส่งให้ประเทศมาเลเซีย ด้วยกรณีนี้ไม่เข้าด้วยเงื่อนไขและองค์ประกอบสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
- การแต่งกายข้ามเพศ และการแปลงเพศ แม้จะเป็นความผิดตามกฎหมายมาเลเซีย แต่มิได้เป็นความผิดตามกฎหมายประเทศไทย และการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปปฏิบัติตามกฎหมายมาเลเซีย ในการจับกุม นูร ซาญัต และส่งตัวกลับไปประเทศมาเลเซีย จะทำให้ประเทศไทยเสียอธิปไตยทางศาล
- รัฐบาลต้องไม่ส่ง นูร ซาญัต กลับไปยังประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้เพราะจะทำให้ นูร ซาญัต ตกอยู่ภายใต้อันตรายของภัยประหัตประหาร การทรมาน เเละการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรี
- นายกรัฐมนตรีต้องกำกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ และหากพบว่า มีการกระทำความผิดก็ขอให้ดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ทั้งทางวินัย ทางอาญา และทางปกครองด้วย
“แม้ว่าปัจจุบัน นูร ซาญัต จะได้สถานะเป็นผู้ลี้ภัยกับ UNHCR และกำลังจะเดินไปยังประเทศออสเตรเลียแต่การที่ทางการมาเลเซียมีท่าทีต้องการเจรจาเพื่อให้รัฐบาลไทยส่งตัว นูร ซาญัต กลับไปดำเนินคดีต่อในศาลของรัฐเซอลาโงร์ หลังจากเธอไม่ปรากฏตัวต่อศาลตามคำนัดพิจารณาคดี มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ทำให้ นูร ซาญัต ตกอยู่ในความเสี่ยงว่า จะถูกส่งกลับไปประเทศมาเลเซียและถูกกระทำทรมาน หรือกระทำการโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี เนื่องจากรัฐเซอลาโงร์ ประเทศมาเลเซียกำหนดให้ การแต่งกายข้ามเพศ และการแปลงเพศเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมาย”
ประเทศไทย เป็นภาคีในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment : CAT) ข้อ 3 (1) ว่า รัฐภาคีต้องไม่ขับไล่ ส่งกลับ (ผลักดันกลับออกไป) หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะตกอยู่ภายใต้อันตรายที่จะถูกทรมาน กฎหมายระหว่างประเทศระบุให้รัฐภาคีจำต้องปฏิบัติ ตามหลักการ non refoulement
“ขณะนี้ รัฐสภาไทยได้มีมติรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. … เพื่อให้การกระทำทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรี และการบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นความผิดทางอาญา โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุร่าง พรบ. ดังกล่าวเป็นวาระเร่งด่วนตามการร้องขอของนายกรัฐมนตรี ซึ่งในร่าง พ.ร.บ. ฉบับของรัฐบาล มาตรา 12 ได้ระบุห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมานหรือจากการกระทำให้บุคคลสูญหาย” แถลงการณ์ระบุ










