แม้เสียงปืนบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาจะสงบลง แต่ไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดของความขัดแย้ง ตรงกันข้าม ความเงียบสงบที่หลายคนเรียกหา กลับเปิดพื้นที่ให้เกิด ‘สมรภูมิใหม่’ ที่ไม่มีอาวุธห่ำหั่น ไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ แต่เป็นการแย่งชิง ‘เครดิตทางการทูต’ ที่ตอนนี้กำลังลุกลามไปไกลถึงเวทีรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
หลังข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ยุติการสู้รบที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 43 คน และพลเรือนมากกว่า 300,000 คนต้องอพยพจากพื้นที่ สื่อต่างประเทศเริ่มให้ความสนใจว่าใครคือผู้ที่มีบทบาท ‘ตัวจริง’ เบื้องหลังความสำเร็จนี้ ระหว่างผู้นำในภูมิภาคอย่าง ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กับผู้นำมหาอำนาจอย่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ในขณะที่อันวาร์เลือกแนวทางทางการทูตแบบ ‘สร้างพื้นที่กลาง’ ผ่านกลไกระดับภูมิภาค ทรัมป์ในฐานะผู้นำจากประเทศมหาอำนาจ เลือกใช้นโยบายและแรงกดดันทางการค้าเพื่อเร่งให้คู่ขัดแย้งเข้าสู่โต๊ะเจรจา สิ่งนี้เองทำให้เกิดคำถามตามมาว่า วิธีการใดที่โลกควรยกย่อง หรือใครกันแน่ที่ควรได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล
‘อันวาร์’ ผู้นำภูมิภาค ผู้ลงมือจริง
ในฐานะประธานอาเซียน นายอันวาร์ อิบราฮิม ไม่ได้นิ่งเฉยต่อสถานการณ์ที่ลุกลามขึ้นบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เขาเปิดเผยภายหลังว่าได้ติดต่อพูดคุยกับผู้นำทั้งสองประเทศตั้งแต่คืนวันที่ 24 กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่การปะทะเริ่มทวีความรุนแรง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน อันวาร์ก็จัดการประชุมไตรภาคีขึ้นที่เมืองปุตราจายา โดยเชิญทั้งนายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาเข้าร่วม พร้อมผู้สังเกตการณ์จากสหรัฐฯ และจีน การประชุมนี้นำไปสู่การประกาศข้อตกลงหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของการคลี่คลายความตึงเครียด
แม้อันวาร์จะไม่ออกมาแสดงตัวว่าเป็น ‘ผู้นำแห่งสันติภาพ’ อย่างชัดเจน แต่การดำเนินบทบาทเชิงรุกของเขาก็ได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งในและต่างประเทศ หนึ่งในนั้นคือ อดีต ส.ส. มาเลเซีย ยูสมาดี ยูซอฟ ถึงกับเปิดแคมเปญเสนอชื่ออันวาร์เข้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพ ผ่านเว็บไซต์ Change.org โดยเน้นย้ำว่า “การพูดคุยอย่างอดทนและการเคารพต่ออธิปไตยของรัฐ คือหัวใจของสันติภาพอย่างยั่งยืน”
‘ทรัมป์’ กับบทบาทผู้นำชาติมหาอำนาจ
ในอีกฟากหนึ่ง ทรัมป์ซึ่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ใช้ช่องทางของตัวเองในการสื่อสารถึงการมีส่วนร่วมของเขาในวิกฤตนี้ โดยระบุว่าเขาได้โทรพูดคุยกับผู้นำทั้งสองประเทศ พร้อมเน้นย้ำความจำเป็นในการหยุดยิงโดยเร็ว
มาตรการสำคัญที่ถูกมองว่าเป็นแรงผลักดันในการเปิดทางสู่การเจรจา คือการที่ทรัมป์ส่งสัญญาณว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจทบทวนความร่วมมือทางการค้ากับทั้งสองประเทศ หากความขัดแย้งยังดำเนินต่อไป สื่อต่างประเทศบางสำนักถึงกับระบุว่า แรงกดดันเชิงนโยบายดังกล่าวอาจเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ที่ผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายยอมกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา
หลังข้อตกลงหยุดยิงมีผลในวันที่ 28 กรกฎาคม ทรัมป์ประกาศบน Truth Social ว่า “เขาช่วยหยุดสงครามชายแดนครั้งนี้ไว้ได้” และขนานนามตนเองว่า “President of Peace” พร้อมกับลดภาษีนำเข้าจากไทยและกัมพูชาลงมาอยู่ที่ 19%
ไม่นานหลังจากนั้น ทำเนียบขาวก็ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนการเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพ โดยคาโรลีน เลวิตต์ โฆษกประจำทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ในช่วงต้นวาระการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ สหรัฐฯ มีบทบาทในการสนับสนุนหรือผลักดันข้อตกลงสันติภาพจำนวนมาก เช่น ในกรณีอินเดีย–ปากีสถาน, อิหร่าน–อิสราเอล และล่าสุดคือกรณีไทย–กัมพูชา ซึ่งเธอย้ำว่า “สะท้อนถึงความตั้งใจจริงในการใช้ความเป็นผู้นำเพื่อสันติภาพ มากกว่าสงคราม”
ขณะเดียวกัน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซุน จันทอล ก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาลกัมพูชาจะเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลเช่นกัน โดยระบุว่า ทรัมป์มีบทบาทสำคัญในการคลี่คลายความตึงเครียด พร้อมช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการส่งออกของกัมพูชา
สองแนวทาง สู่เป้าหมายเดียวกัน?
แม้ทั้งอันวาร์และทรัมป์จะเลือกเดินคนละเส้นทาง แต่จุดมุ่งหมายของทั้งคู่ดูจะไม่ต่างกันนัก นั่นคือการยุติความรุนแรงโดยเร็วและหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อพลเรือน
อันวาร์ใช้บทบาทของผู้นำระดับภูมิภาค ประสานงานผ่านช่องทางทางการทูต และอาศัยความไว้วางใจในกลไกอาเซียนเพื่อเปิดพื้นที่กลางสำหรับพูดคุย ขณะที่ทรัมป์ ใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจควบคู่กับการประกาศบทบาทผ่านสื่อสาธารณะ เพื่อให้คู่ขัดแย้งตัดสินใจรวดเร็ว
สุดท้าย คำถามจึงอาจไม่ใช่แค่ “ใครควรได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ?” แต่คือ “แนวทางใดควรได้รับการยกย่องในเวทีระหว่างประเทศ?”ระหว่างสันติภาพที่เกิดจากเวทีการเจรจาภูมิภาค กับสันติภาพที่เกิดจากแรงบีบบังคับจากภายนอก ระหว่างผู้นำที่โน้มน้าวคู่ขัดแย้งให้หันหน้าคุยกันเอง กับผู้นำที่ใช้อิทธิพลสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
South China Morning Post สะท้อนประเด็นนี้ไว้ว่า โลกอาจต้องนิยาม “ความกล้าหาญทางการทูต” ใหม่ ว่าควรเป็นการ “เจรจาในความเงียบ” หรือ “สร้างผลลัพธ์ในพื้นที่สาธารณะ” ขณะที่ Malaysiakini ตั้งคำถามตรงๆ ว่า “โนเบลควรยกย่องผู้นำที่ลงมือจริง หรือผู้ที่สร้างแรงผลักดันจากระยะไกล?”
คำถามเหล่านี้ไม่มีคำตอบตายตัว และนั่นเองที่ทำให้ ‘รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ’ ยังคงเป็นหนึ่งในเวทีแห่งการถกเถียงที่โลกจับตามองมาตลอด










