I’m Thinking of Ending Things เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายระทึกขวัญชื่อดังของเอียน รีด (Iain Reid) นักเขียนชาวแคนาดาเจ้าของรางวัล RBC Taylor Emerging Writer Award ในปี 2015 ที่ถูกชาร์ลี คอฟแมน ผู้กำกับหนังชาวอเมริกันนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ใน Netflix ความยาวกว่า 2 ชั่วโมง โดยเน้นให้ผู้ชมเข้าไปสำรวจความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ทั้งความคิดที่อยากจะเลิกอะไรบางอย่าง และพูดถึงการจินตนาการที่เกินจริง
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสาปให้ต้อง ‘คิด’ และไม่ใช่แค่คิดเรื่องที่ต้องทำในตอนนี้ เรามักคิดถึงอดีต คาดหวังถึงอนาคต เลยเถิดจนจินตนาการไปไกล ไกลเกินกว่าความเป็นจริงเสียอีก
วนกลับมาถามตัวเองซ้ำๆ ว่า เมื่อไหร่จะหยุดคิดสักที?

ความคิดและจินตนาการของมนุษย์จึงเป็นเหมือนสิ่งที่ ชาร์ลี คอฟแมน (Charlie Kaufman) พยายามจะจำลองออกมาให้เห็นในเรื่อง I’m Thinking of Ending Things หนังที่เล่าถึงการเดินทางของหญิงสาวเพื่อไปพบปะและทานมื้อเย็นกับพ่อแม่ของชายที่กำลังคบหาอยู่ ในหัวเธอมีแต่ความคิด “ฉันคิดว่าจะเลิก” อยู่ตลอดเวลา ทว่าไม่พูดมันออกไป
I’m Thinking of Ending Things ดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อเดียวกันของ อิเอน รีด (Iain Reid) ตัวหนังสือถูกจัดอยู่ในหมวดจิตวิทยาสยองขวัญที่ได้ยินแล้วรู้เลยว่าต้องปั่นปวนอารมณ์และหลอกหลอนจิตใจคนอ่าน พอนิยายที่สะเทือนขวัญอยู่แล้วมาอยู่ในมือของ ชาร์ลี คอฟแมน ผู้กำกับหนังแนวเหนือจริง (surreal) ที่เคยฝากผลงานอย่าง Being John Malkovich หรือ Eternal Sunshine of the Spotless Mind เอาไว้ ก็ไม่แปลกเลยที่คนดูจะต้องพบเจอกับประสบการณ์ดูหนังอันท้าทาย
ความท้าทายเริ่มตั้งจอขนาดยาวที่เคยชินถูกบีบสเกลให้เล็กลงเหลือแค่ 4:3 เรื่องราวการเดินทางที่ดูจะเรียบง่ายกลับถูกเล่าอย่างไม่ปะติดปะต่อ การเรียงลำดับเหตุการณ์ดูห่างจากความเป็นจริงที่ควรจะเป็น แทนที่ในเรื่องจะมีแค่หญิงสาวและครอบครัวฝ่ายชาย อยู่ดีๆ บางช่วงบางตอนก็มีซีนภารโรงแก่ๆ แทรกเข้ามา บรรยากาศในเรื่องก็มีแต่หิมะหนาวเหน็บชวนหดหู่
ความอึดอัดและสับสนทำให้ I’m Thinking of Ending Things เป็นหนังที่เรียกร้องความพยายามจากคนดูมากทีเดียว
ซึ่งความพยายามนั้นอาจจะคุ้มค่าเมื่อเรื่องนี้พาเราไปสำรวจความคิดของใครสักคน ความคิดที่อยากจะเลิกอะไรบางอย่าง พูดถึงการจินตนาการที่เกินจริง—สิ่งที่เราอาจกำลังคิดอยู่ในทุกๆ วัน
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง

นี่ไม่ใช่เรื่องของหญิงสาว
ใน I’m Thinking of Ending Things คนดูจะได้ยินเสียงความคิดของหญิงสาว (แสดงโดย เจสซี บักลีย์) อยู่บ่อยๆ คำพูดว่า “ฉันคิดว่าจะเลิก” ก็เป็นเธอเองที่พูดย้ำ ตัวหนังนำเสนอหญิงสาวราวกับว่าเธอคือตัวเอก แต่พอเรื่องดำเนินไปทุกอย่างกลับดูเลือนลางไปหมด ชื่อของหญิงสาวถูกเรียกไม่เคยซ้ำกันตั้งแต่ลูซียันลูเซีย อาชีพที่ทำก็ไม่แน่นอน บางครั้งนักฟิสิกส์ บางครั้งนักกวี บางทีศิลปิน คำพูดของเธอส่วนใหญ่ยังหยิบยืมมาจากแหล่งอื่นไม่ว่าจะหนังสือหรือภาพยนตร์ และถ้าจะพูดอะไรนอกเหนือจากนั้น เธอจะมองปฏิกิริยาของคนอื่นเสมอ แทบไม่มีเลยสักครั้งที่ตัวตนของเธอชัดเจน เธอพูดว่า “ฉันคิดว่าจะเลิก” อยู่ในความคิดเธอเสมอ แต่ไม่เคยเลิกอะไรเลยจริงๆ แม้แต่จะเลิกพูดว่า “ฉันคิดว่าจะเลิก”
แล้วเธอคือใคร? เมื่อทุกอย่างดำเนินมาถึงตอนจบ ในแง่หนึ่งเราอาจจะคิดได้ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ใครเลย เธออาจไม่เคยมีตัวตน เป็นแค่จินตนาการของชายคนหนึ่งที่ตัวหนังแทรกภาพมาให้เห็นแค่บางช่วงบางตอน ชายคนนั้นไม่ใช่ เจค (แสดงโดย เจสซี พลีมอนส์) ชายหนุ่มที่เธอเพิ่งคบหา แต่เป็นตาแก่ภารโรงประจำโรงเรียนไฮสคูลแห่งหนึ่งที่คนดูได้เห็นอยู่ไม่กี่นาที จริงๆ แล้วการเดินทางของหญิงสาวและเจคในหนังเรื่องนี้อาจไม่ใช่อะไรเลยนอกจากความคิดในหัวของภารโรงแก่ๆ ที่ผสมเอาความทรงจำลงไป
แล้วภารโรงแก่ๆ คนนี้คิดถึงอะไรบ้าง…
คิดถึงคนรัก
ไม่ว่าในอดีตภารโรงแก่จะเคยมีคนรักหรือไม่ แต่ในห้วงความคิดที่คนดูได้เห็นใน I’m Thinking of Ending Things หญิงสาวคือภาพแทนของคนรักที่เขานึกถึง และเจคคือตัวแทนของตัวภารโรงแก่เอง ไม่ว่าเจคจะเรียกหญิงสาวด้วยชื่อไหนเธอก็มักจะคล้อยตามเสมอ เจคบอกว่าเธอทำอาชีพอะไร เธอก็เปลี่ยนตัวเองไปมีความถนัดในด้านนั้นได้ทันที กระทั่งภาพวาดที่ใช้อ้างว่าเธอเป็นศิลปิน ก็อาจเป็นฝีมือวาดของเจค
หนังบอกกับคนดูในซีนที่หญิงสาวเดินเข้าไปสำรวจห้องวัยเด็กของเจคว่า สิ่งที่เธอหยิบยกหรือพูดมาตลอดล้วนมาจากหนังสือ ภาพยนตร์ หรือป๊อปคัลเจอร์ ที่เจคหรือภารโรงแก่เคยเสพทั้งนั้น การที่ภารโรงแก่คิดภาพนี้ขึ้นมาอาจเป็นได้ทั้งการย้อนรำลึกอดีต หรือจิตนาการขึ้นมาใหม่เพื่อปลอบประโลมชีวิตที่โดดเดี่ยว ไม่โรแมนติก และไม่เคยมีความรัก (หากไปเช็กกับเว็บไซต์ฐานข้อมูลภาพยนต์ IMDb ก็ระบุชื่อตัวละครที่ เจสซี บักลีย์ แสดงไว้แค่ว่า “Young Woman”)

คิดถึงครอบครัว
ในจิตนาการของภารโรงแก่ ภาพพ่อแม่และบ้านในฟาร์มเป็นอีกความคิดที่เขานึกถึง ภารโรงแก่อาจวาดภาพให้เจคมีพ่อแม่ (แสดงโดย เดวิด ทิวลิส และ โทนี คอลเลต) ที่เข้าอกเข้าใจให้การสนับสนุน แต่ท่าทางของพ่อแม่ของเจคที่มีบุคลิกเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ก็อาจเป็นหลักฐานว่า ในชีวิตจริงภารโรงแก่อาจไม่ได้มีวัยเด็กและครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม
ถึงอย่างนั้นภารโรงแก่หรือเจคก็ดูจะจดจำพ่อแม่ของตัวเองได้ทุกช่วงเวลา เพราะตัวหนังตัดสลับให้เราได้เห็นภาพพ่อและแม่ตั้งแต่ยังหนุ่มไปจนแก่
ฉากที่เจคยืนกรานจะป้อนข้าวให้แม่ที่แก่จนถือช้อนแทบไม่ได้ ในขณะที่แฟนสาวอยากกลับบ้านใจจะขาด ก็อาจเป็นจินตนาการที่ภารโรงแก่อยากไถ่บาปจากการที่ชีวิตจริงเขาไม่มีโอกาสได้ดูแลแม่จนวาระสุดท้าย

คิดถึงชีวิตและความสำเร็จ
I’m Thinking of Ending Things อัดข้อมูลมากมายให้คนดูจนเรียกได้ว่ารับสารแทบไม่ทัน ทั้งคำพูดของในบางคน ผลงานศิลปะ ภาพยนตร์ งานวิจัย เพลง บทกวี บทความ เป็นไปได้ว่าทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ภารโรงแก่เสพและรับรู้มาตลอดทั้งชีวิต ขมวดรวมมาอยู่ในความคิดของเขาในการเดินทางของเจคและหญิงสาว ทุกฉากทุกคำพูดถูกดึงมาจากความทรงจำ
แต่ก็ไม่ใช่แค่ความทรงจำ บางอย่างอาจถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เป็นจินตนาการที่ภารโรงแก่หวังให้เกิดขึ้นจริง ซีนหนึ่งที่เห็นชัดที่สุดคือซีนที่เจคขึ้นรับรางวัลโนเบล ทุกคนที่เจครู้จักมาร่วมแสดงความยินดีกับเขาในงาน เจคประกาศความสำเร็จของตัวเอง เป็นภาพที่สวยงามแตกต่างจากภาพของภารโรงแก่ที่คอยถูพื้นโรงเรียนอย่างเงียบเหงายามค่ำคืน

คำพูดว่า “ฉันคิดว่าจะเลิก” ใน I’m Thinking of Ending Things อาจจะไม่ได้หมายถึงการที่หญิงสาวคิดจะเลิกคบกับเจคเพียงอย่างเดียว ถ้าในเมื่อหญิงสาวคือภาพสะท้อนความคิดของภารโรงแก่ คำว่า “ฉันคิดว่าจะเลิก” ที่หญิงสาวย้ำซ้ำๆ อาจเป็นคำพูดที่ภารโรงแก่อยากเตือนสติตัวเองให้เลิกจินตนาการเพ้อฝันเสียที
เพราะในตอนจบของเรื่อง สุดท้ายก็เป็นความคิดของภารโรงแก่นี่แหละที่คอยหลอกหลอนและกัดกินตัวเข้าเอง เหมือนกับหมูในฟาร์มที่ถูกหนอนชอนไชจนตายอย่างช้า ซึ่งเป็นเรื่องที่เจคเล่าให้หญิงสาวฟังระหว่างพาเยี่ยมชมฟาร์ม

จินตนาการคงไม่ใช่ความสามารถที่เราจะมองเห็นแต่ข้อเสียแล้วตัดทิ้งอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มนุษย์ใช้ความคิดแปลกใหม่สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงให้กับโลก การทำลายความคิดสร้างสรรค์จึงนับเป็นเรื่องเสียหายมากกว่าได้ประโยชน์ และคงอยู่ที่ว่าเราบิดเบือนความคิดให้ไปไกลจากแค่ไหน
I’m Thinking of Ending Things ของชาร์ลี คอฟแมน อาจจะไม่เหมาะกับคนดูบางส่วน ด้วยความที่ตัวหนังดึงให้คนดูต้องค่อยๆ คิดตามสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทุกอย่าง ทั้งบทสนทนา บทเพลง และกิริยาต่างๆ ของตัวละคร แต่หากคุณเป็นผู้ที่ชอบการตีความสิ่งต่างๆ ในภาพยนตร์ I’m Thinking of Ending Things ก็น่าจะตอบโจทย์คุณได้ดีทีเดียว









