หลายคนอาจจะคิดว่าไลฟ์โค้ชเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ เป็นแค่การนำคำพูดสวยหรูมาใส่ดนตรีประกอบ และเป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้ แต่หากมองวงการไลฟ์โค้ชทั่วโลกที่มีผู้ประกอบอาชีพนี้อยู่หลายหมื่นคน ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจหนึ่งที่มีมานานแล้ว อีกทั้งยังมีมูลค่ามหาศาลและอัตราการเติบโตที่รวดเร็วอีกด้วย
เนื่องจากไลฟ์โค้ชเป็นธุรกิจที่ยังไม่มีหน่วยงานใดมาควบคุมอย่างเป็นทางการ ทำให้ไม่สามารถประเมินออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้ว่ามีมูลค่าเท่าใด แต่สื่อหลายสำนักประเมินว่ามีเงินหมุนเวียนต่อปีไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (3 หมื่นล้านบาท)
องค์กรด้านไลฟ์โค้ชที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในตอนนี้คือ International Coaching Federation (ICF) ที่มีทำการออกประกาศนียบัตรให้กับโค้ชที่ผ่านการอบรมและมีชั่วโมงการทำงานตามที่กำหนดไว้
ในรายงานประจำปี 2018 ระบุว่า ICF มีสมาชิกอยู่ 33,645 คน และมีสมาชิกในสหรัฐฯ 12,838 คน หรือคิดเป็น 38.16% ของสมาชิกทั้งโลก
อย่างไรก็ตาม ไลฟ์โค้ชไม่ใช่จิตแพทย์ซึ่งเป็นอาชีพที่กฎหมายแต่ละประเทศกำหนดว่าจำเป็นต้องผ่านการอบรบหรือต้องมีใบประกาศฯ ทำให้จำนวนผู้ที่ประกอบอาชีพนี้มีแนวโน้มที่จะมีเยอะกว่าตัวเลขที่ถูกบันทึกไว้
ไลฟ์โค้ชคืออะไร?
ICF ให้คำนิยามของการเป็นโค้ชว่า “ผู้ที่พูดคุยเพื่อทำให้ลูกค้าฉุกคิดและเกิดจินตนาการ อันนำไปสู่แรงบันดาลใจที่จะดึงศักยภาพของตนเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการงานและชีวิต”
รูปแบบการโค้ชในอดีตจะถูกจำกัดไว้ที่การออกหนังสือ การปรึกษาตัวต่อตัว และการจัดงานสัมนา อาจจะมีการบันทึกแล้วนำมาวางขายในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งยังไม่ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องมากนัก
แต่พอโลกได้เข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดีย ทำให้โค้ชทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ต่างใช้วิธีนี้เป็นช่องทางในการสื่อสารกับผู้คน รวมถึงเป็นการโปรโมทตัวเองไปด้วยในเวลาเดียวกัน
ตามหลักการแล้ว ไลฟ์โค้ช คือโค้ชประเภทที่ให้คำปรึกษาเรื่องชีวิต ไม่ได้รวมไปถึงเรื่องการงานหรือธุรกิจ แต่พอคำนี้เริ่มถูกนำมาใช้ในสังคมไทย กลายเป็นว่าไลฟ์โค้ชคือโค้ชที่ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่องตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
และการที่ไลฟ์โค้ชใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับผู้คนเป็นวงกว้าง ก็ทำให้พวกเขาได้ตำแหน่ง “นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ” เพิ่มเข้าไปอีกด้วย
ใครคือเบอร์ 1 ของวงการไลฟ์โค้ช?
แม้ว่าโค้ชแต่ละคนจะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป แต่ในภาพรวมแล้ว Business Insider ยกให้ โทนี่ รอบบินส์ เป็นไลฟ์โค้ชและโค้ชด้านธุรกิจที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก มีรายงานว่าเขาทำได้รายต่อปีจากการจัดงานสัมนา 9 ล้านดอลลาร์ แต่รายได้ส่วนใหญ่ของเขามาจากการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งมีรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1.8 แสนล้านบาท) ในปี 2017
โทนี่ รอบบินส์ หรือชื่อเต็มว่า แอนโธนี เจ มาฮาโวริช โด่งดังจากการจัดงานสัมนาที่มีรูปแบบคล้ายเวทีคอนเสิร์ต ผู้ที่เข้าร่วมงานมักจะถูกกระตุ้นให้กระโดดไปตามเสียงดนตรีก่อนที่ตัวเขาจะเริ่มการพูด เพื่อเป็นการผ่อนคลายและเตรียมตัวเองให้พร้อม
I’m hosting a 💥 7-Day LIVE Comeback Challenge 💥 to teach you the exact steps to transforming problems into progress and crafting YOUR COMEBACK STORY. Click here to join: https://t.co/JFjX1SGoDI
Read on to see how Day 1 went 💕🌎🙌 pic.twitter.com/vgqNSNDwE3
— Tony Robbins (@TonyRobbins) June 24, 2020
ในการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว มีรายงานว่าเขามีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงจากแทบทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็น บิลล์ คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ, เจ้าหญิงไดอานาแห่งเวลส์, เนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้, ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ นักแสดงฮอลลีวูด และ เซเรนา วิลเลี่ยมส์ อดีตนักเทนนิสมือหนึ่งของโลก
ในปี 2016 โทนี่ รอบบินส์ ปรากฎตัวในสารคดี ผมไม่ใช่กูรู (I Am Not Your Guru) ทาง Netflix ที่ส่งทีมงานตามติดไลฟ์โค้ชผู้นี้ทั้งหน้าเวทีและหลังเวที มีฉากหนึ่งที่ถูกตัดมาเป็นไฮไลท์ เป็นช่วงเขาพูดคุยกับผู้ร่วมสัมนาคนหนึ่งที่บอกว่าอยากฆ่าตัวตาย
“ทำไมคุณถึงอยากฆ่าตัวตาย?” รอบบินส์ถาม
“เพราะผมมาถึงจุดที่สำคัญในชีวิต และผมรู้สึกว่าตัวเองจมดิ่งลงไปจนไม่เห็นทางออกเลย อยากหาทางออกจากร่างนี้”
“คุณเกลียดตัวเองเพราะอะไรกัน?”
“เพราะรองเท้าสีแดงคู่นี้หรือเปล่า?” รอบบินส์ชี้ลงไปที่รองเท้าของชายคนนั้น
“ไม่ใช่” เขาส่ายหน้า
“แน่ใจนะ? เพราะมันโคตรแดงเลย” ทั้งฮอลล์หัวเราะ รวมถึงชายผู้นั้น
“อย่ายิ้มแบบนั้นสิ คุณกำลังทำให้ทุกอย่างแย่ลงนะ ถ้าขืนยิ้มแบบนั้นบ่อย ๆ เดี๋ยวเกิดคุณอยากอยู่บนโลกนี้ต่อขึ้นมาจะทำยังไง” รอบบินส์แซวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง ก่อนจะเปลี่ยนเข้าสู่โหมดจริงจังในอีกไม่กี่อึดใจถัดมา
“คุณเข้มงวดกับตัวเองมากเกินไป ผมชอบนะที่คุณตั้งมาตรฐานไว้สูง แต่นั่นมันไม่ใช่มาตรฐานสูงหรอก มันคือความคาดหวังว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ”
“คนส่วนใหญ่มักจะประเมินตัวเองสูงเกินไป กับสิ่งที่ตัวเองทำได้ในระยะเวลาปีเดียว แต่กลับประเมินตัวเองต่ำเกินไปสำหรับ 20-30 ปีข้างหน้า และคุณยังอยู่มาไม่นานพอที่จะพิสูจน์ตัวเองใน 20-30 ปีนั้นเลย”
“และถ้าคุณให้เวลากับตัวเองมากขึ้นอีกหน่อย และรักตัวเองให้มากขึ้นอีกนิด คุณจะได้เห็นว่ายังมีอะไรที่คุณทำได้อีกเยอะเลย ผมโคตรจะเชื่อแบบนั้น”
บทสนทนาครั้งจบลงด้วยการที่ชายหนุ่มบอกว่าเขาเชื่อในตัวไลฟ์โค้ช และให้คำมั่นว่าจะให้เวลากับตัวเองมากขึ้น มีการตัดภาพไปที่แผงควบคุมเสียงที่เร่งเสียงดนตรีขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือทั่วทั้งฮอลล์
จะเห็นได้ว่าวิธีการของไลฟ์โค้ชผู้นี้ไม่ใช่การอธิบายให้ฟังว่าคนเราไม่ควรฆ่าตัวตายเพราะอะไร แต่เป็นการพูดให้ฉุกคิดถึงข้อดีของการมีชีวิตอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า โทนี่ รอบบินส์ จะประสบความสำเร็จและมีรายได้มหาศาล แต่เขาก็หนีไม่พ้นเรื่องดราม่าอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการออกมาให้คำแนะนำที่ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงวิธีคิดของเขา รวมไปถึงคดีความต่าง ๆ ที่มีการฟ้องร้องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ในปี 2018 เขาโดนสังคมวิจารณ์อย่างหนักหลังจากมีการบันทึกสิ่งที่เขาพูดในงานสัมนา โดยบอกว่าผู้หญิงที่ออกมาพูดถึง #MeToo เป็นตัวอย่างของความต้องการที่อยากให้ตนเองมีความสำคัญ และเป็นความพยายามในการแสดงว่าตนเป็นผู้ถูกกระทำ ก่อนที่จะออกมาขอโทษในภายหลัง
(#MeToo เป็นแฮชแท็กที่ใช้เรียกร้องให้ผู้ชายที่มีอำนาจหยุดการคุกคามและล่วงละเมิดทางเพศ)
และในปี 2019 ทาง BuzzFeed ได้รายงานข่าวว่า โทนี่ รอบบินส์ เคยล่วงละเมิดหญิงสาวเมื่อปี 1985 ก่อนที่ทีมกฎหมายของเขาจะออกมาปฏิเสธ และทำการยื่นฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทที่ประเทศไอร์แลนด์ แม้ว่าทั้งตัวเขาและคู่ความจะมีถิ่นฐานอยู่ในสหรัฐฯ ก็ตาม
ใคร ๆ ก็สามารถเป็นไลฟ์โค้ชได้
ไลฟ์โค้ชใช้ทักษะการพูดเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน สำหรับผู้ที่ฟังแล้วรู้สึกชื่นชอบ และรู้สึกว่าสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตได้ ก็จะนิยมชมชอบในโค้ชเหล่านั้นมาก
แต่ผู้คนอีกส่วนก็จะมองว่าไลฟ์โค้ชจำนวนมากมักใช้วิธีพูดแบบลอย ๆ ไม่มีหลักฐานมารองรับ ไม่มีการควบคุมโดยหน่วยงานใด ๆ และไม่มีมาตรฐานสำหรับวิชาชีพนี้ ซึ่งอาจทำให้มีการชักนำผู้ฟังไปในทางที่ผิดได้
คอร์สส่วนใหญ่ที่ได้รับการยอมรับอาจต้องใช้เวลาฝึก 3-9 เดือนเพื่อที่จะได้ใบประกาศนียบัตร แต่บางคอร์สกลับใช้เวลาเข้าอบรมแค่ช่วงสุดสัปดาห์ ก็ได้คำนำหน้าว่า โค้ช มาครอบครองแล้ว
และถึงแม้จะมีคอร์สอบรมและมีองค์กรต่าง ๆ นับร้อยแห่งคอยออกประกาศนียบัตรให้ แต่ถ้าคุณไม่ได้เข้าอบรม แล้วอยากจะเปิดคอร์สสอนขึ้นมา ก็ไม่มีกฎหมายข้อใดห้ามคุณไม่ให้เป็นไลฟ์โค้ชได้
หลายคนอาจจะได้ประโยชน์ที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปเป็นค่าคอร์ส ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับคนเหล่านั้น แต่ปัญหาเรื่องการสร้างความเข้าใจที่ผิดให้กับคนในสังคม หรือปัญหาด้านมาตรฐานวิชาชีพยังคงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังอยู่ดี
ขนาดไลฟ์โค้ชระดับต้น ๆ ของโลกยังออกมาชี้นำในทางที่สังคมมองว่าไม่ถูกไม่ควรจนเกิดดราม่า จึงไม่มีอะไรมาการันตีได้เลยว่าโค้ชคนอื่น ๆ จะไม่ทำผิดพลาดแบบเดียวกัน










