เมื่อ climate change และการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นวาระสำคัญของไทยและของโลก วงการวัสดุก่อสร้างพร้อมปูทางสู่ความยั่งยืน นำโดยสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) รวมพลังกับพันธมิตรกว่า 30 หน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาควิชาชีพ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษา จับมือกันเดินหน้าลดโลกร้อน สร้างการเปลี่ยนแปลงมิติใหม่ ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีผลิต “ปูนลดโลกร้อน” หรือ “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” มอก. 2594 เพราะนอกจากจะลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อนได้แล้ว ยังตอบโจทย์ทิศทางในระดับโลกอย่าง COP 27 และนำไทยไปสู่ “2024 Thailand’ s New Era of Low Carbon Cement”
workpointTODAY ชวนอ่านเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลง “ปูนซีเมนต์”พาไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการร่วมมือกันหลายภาคส่วน
จากโลกร้อน สู่ปูนลดโลกร้อน
“เพราะปัญหาโลกร้อนนั้นรุนแรงและใกล้ตัวกว่าที่ทุกคนคิด ทั้งภัยพิบัติรุนแรง สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็น ฝนตก น้ำท่วม ฝนแล้ง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบ และส่งผลต่อผู้คนที่อยู่อาศัยในโลกใบนี้
ทำอย่างไรที่จะทำให้การดำเนินการในทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ส่งผลกระทบทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น โดยมีเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในสิ้นศตวรรษนี้”
นี่คือคำพูดของ ดร. ชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) ที่กล่าวไว้อย่างน่าสนใจในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2565 พร้อมทั้งบอกว่า หนึ่งในทางออกที่สำคัญคือคำตอบเรื่องความยั่งยืน ซึ่งนั่นก็คือการเปลี่ยนผ่านมาสู่การใช้ “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” หรือ “ปูนลดโลกร้อน”
เพราะปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิต ลดการเผาหินปูนซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก นำเทคโนโลยีด้านวัสดุศาสตร์และนวัตกรรมเข้ามาใช้ ทำให้ “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” ช่วยลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก โดยยังคงคุณลักษณะตามมาตรฐาน มอก. 2594 นำไปสู่การวางมาตรฐานวิศวกรรมงานก่อสร้างให้นำมาใช้แทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ในทุกประเภทงานก่อสร้าง
เสียงจากพันธมิตรภาคส่วนต่างๆ สู่ความพร้อมในการใช้ปูนลดโลกร้อน
ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวว่า “วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นสมาคมที่เก่าแก่ที่สุดของด้านวิศวกรรม เชื่อว่าเราสามารถที่จะผลักดันองค์ความรู้ต่างๆ รวมทั้งชักนำให้วิศวกรทั่วประเทศได้รับทราบว่า ตอนนี้เราจะมาช่วยกันลดโลกร้อน ดังนั้นการออกแบบอาคารต่างๆ เราสามารถที่จะใช้ปูนซีเมนต์ประเภทใหม่ได้ นั่นคือปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ตรงนี้สำคัญมากเลยที่หลายฝ่ายทั้งช่วยกันพูด ช่วยกันทำ ช่วยกันให้ความเห็น ซึ่งเราก็ให้ความเห็นในส่วนที่เรามีพี่น้องเครือข่ายของเราที่เป็นวิศวกรทั่วประเทศ และเรายังสื่อไปให้ประชาชนทราบด้วย”
ส่วนด้านของ ศาสตราจารย์ ดร. สมนึก ตั้งเติมสิริกุล หัวหน้าศูนย์วิจัยเทคโนโลยีก่อสร้างและบำรุงรักษา สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคอนกรีตเบอร์ต้นๆ ของไทย กล่าวว่า “ในการผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกมีกระบวนการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่คุณภาพของปูนซีเมนต์ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ในทางกลับกัน จะดีขึ้นในบางมิติของการใช้งานอีกด้วย ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ปูนซีเมนต์อยู่ที่ 20-30 ล้านตันต่อปี หากโครงการก่อสร้างต่างๆ เปลี่ยนมาใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายแสนตันต่อปี ภาคการศึกษาต้องช่วยกันสนับสนุนสร้างความรู้ความเข้าใจ การสร้างความมั่นใจในการนำไปใช้งาน รวมถึงการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ลดโลกร้อนชนิดใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
รองศาสตราจารย์ ดร. สมิตร ส่งพิริยะกิจ ประธานสาขาวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ว่า “วสท. ได้ปรับปรุงแก้ไขมาตรฐานวิศวกรรมงานก่อสร้าง วสท. 011014-19 และส่งเสริมให้มีการใช้งานปูนลดโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม โดยสะท้อนภาพว่า ที่ผ่านมาการสร้างการเปลี่ยนแปลงจะถูกขับเคลื่อนโดยความต้องการของผู้บริโภค แต่การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนำปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกมาใช้เพื่อลดโลกร้อน เป็นการขับเคลื่อนที่มาจากผู้ผลิต นับเป็นผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลง เข้าไปหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาควิชาชีพ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษา วสท. จึงยินดีให้การสนับสนุนส่งเสริมการใช้งานปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก เพื่อช่วยให้ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม”

เสียงจากพันธมิตรภาครัฐ สู่ความพร้อมในการใช้ปูนลดโลกร้อน
มุมมองของภาครัฐจาก นายจิรวัฒน์ ระติสุนทร รองเลขาธิการ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ข้อมูลอย่างชัดเจนว่า ตามเจตนารมณ์ของไทยที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) และตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) และปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) คือการปรับปรุงแก้ไขอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบสูงที่สุดคือ “ภาคพลังงานและการขนส่ง” ควบคู่กับสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ คือ “ภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร”
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จึงเป็นการแสวงหาความร่วมมือที่ TCMA เริ่มด้วยการทำงานเชิงรุก ทั้งการสร้างความเข้าใจ การนำร่องให้หน่วยงานภาครัฐนำปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกมาใช้ อาทิ กรมชลประทาน กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท รวมถึงผลักดันให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีส่วนช่วยให้ภาครัฐขับเคลื่อนการทำงานได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ สผ.หน่วยงานเดียวไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ต้องมีทุกภาคส่วน ภาคประชาชน เอกชน รัฐ วิชาการ ต้องมีส่วนร่วมมือกัน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ กำหนดมาตรฐาน นโยบาย กฎระเบียบและกฎหมาย ผู้ผลิต และผู้ใช้งาน เพื่อลูกหลานในอนาคต
ส่วนด้านของ นายกิติพงศ์ อติชาติพงศ์กุล นักวิชาการมาตรฐานชำนาญการพิเศษ กองกำหนดมาตรฐาน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เล่าให้ฟังว่า “ในปัจจุบันทิศทางอุตสาหกรรมมุ่งเน้นที่กระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) การผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ คือ มอก. 2594 -2556 เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้งาน ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐาน ASTM C1157 นอกจากนี้ สมอ. ได้ดำเนินการให้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก มอก. 2594 -2556 สามารถใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตประเภทต่างๆ ปัจจุบันใช้ได้แล้วกว่า 21 ผลิตภัณฑ์คอนกรีต รวมถึงคอนกรีตผสมเสร็จ และอีก 33 มาตรฐานอยู่ระหว่างการประกาศในราชกิจจานุเบกษา”
ดร.ธนิต ใจสอาด หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาอาคาร สำนักควบคุมและตรวจสอบอาคาร กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในฐานะเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีนโยบายขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืน Change for Good กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ดำเนินการแก้ไขมาตรฐานวิศวกรรมงานก่อสร้าง มยผ.1101-64 ถึง 1106-64 และลงนามความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการใช้งานของหน่วยงานราชการของกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งนำร่องนำปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกไปใช้ในการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย รวมถึงการส่งเสริมการใช้ไปยังโครงการอื่นๆ ภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทยให้มากขึ้น ทั้งนี้ มีการตั้งคณะทำงานเข้าไปติดตามการนำปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกมาใช้ในการก่อสร้าง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 เป็นต้นไป

ความร่วมมือนำไปสู่เป้าหมายลดโลกร้อน
ทั้งหมดนี้นับเป็นมิติใหม่ที่ TCMA ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รวมตัวกันเป็นหนึ่ง และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันผลักดันการลดโลกร้อน แสวงหาร่วมมือและลงมือทำอย่างจริงจัง ทั้งภาควิชาชีพที่สนับสนุนการรับรองมาตรฐาน มาสู่การใช้งาน
ด้านภาคอุตสาหกรรมเป็นผู้ผลิตที่ต้นกำเนิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้านภาคการศึกษาสนับสนุนการวิจัยรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยลดโลกร้อน ภาคประชาชนร่วมมือกันใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และภาครัฐเป็นผู้กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ นำร่องให้หน่วยงานในสังกัดเริ่มใช้ “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” ในโครงการก่อสร้างต่างๆ จึงนำไปสู่ความสำเร็จแรกในการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 3 แสนตัน CO2 เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2564 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมาย NDC Roadmap ถึง 9 ปี
ความก้าวหน้าดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมพร้อมผลตอบรับที่สำเร็จเร็วเกินคาด ทำให้อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ของประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอันดับ 1 ในการดำเนินการสอดคล้องกับทิศทางของโลก ไปสู่ Net Zero 2050 นอกจากนี้ มีการสร้างกลไกความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความสำเร็จร่วมกัน มีการกำหนดมาตรฐาน กระบวนการนำปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก มาใช้ได้อย่างรวดเร็วและชัดเจนขึ้น จึงขยายความร่วมมือและตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกไซด์ให้ได้อีก 1 ล้านตัน CO2 ในปี พ.ศ. 2566 (เทียบเท่าไม้พื้นเมือง 110 ล้านต้นในการดูดซับ CO2) พาไทยเข้าสู่ศักราชใหม่ของปูนลดโลกร้อนต่อไป

ความร่วมมือลดโลกร้อน สู่ COP27
ทั้งหมดนี้คือความร่วมมือและการสนับสนุนของทุกภาคส่วนในการเปลี่ยนมาใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ถือเป็น ‘ต้นแบบ’ ของการสร้างกระบวนการขับเคลื่อนการลดอุณหภูมิโลกอย่างเป็นรูปธรรม ที่ TCMA สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย พร้อมนำไปแลกเปลี่ยนกับสมาชิก GCCA (Global Cement and Concrete Association) องค์กรชั้นนำด้านซีเมนต์และคอนกรีต และประเทศต่าง ๆ ที่เข้าประชุม COP 27 ที่ประเทศอียิปต์ เพื่อแสวงหาความร่วมมือ ทั้งด้านเทคโนโลยี แหล่งทุน และอื่นๆ มาสู่ประเทศไทย ในการร่วมกันลดก๊าซเรือนกระจกให้บรรลุตามเป้าหมายต่อไป










