ในปีที่ผ่านมาในประเทศไทยมีการจัดคอนเสิร์ตและ Music Festival กว่า 1,115 งาน ซึ่งนับเฉพาะงานที่ขายบัตรเท่านั้น ไม่ได้นับงานที่เปิดให้เข้าชมได้ฟรี นี่เป็นตัวเลขที่ ‘ป๋าเต็ด’ ยกมาให้เห็นว่า
อุตสาหกรรมนี้สามารถโตได้อีก เพียงแต่ปัจจุบันไทยยังขาดโครงสร้างพื้นฐาน และขาดการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
รายการ HEADLINE สำนักข่าว TODAY ชวนพูดคุยกับ ป๋าเต็ด – ยุทธนา บุญอ้อม ผู้คร่ำหวอดวงการเพลงและอีเวนต์มาพูดคุยถึงความเป็นไปได้และทิศทางในอนาคตของวงการคอนเสิร์ตและเฟสติวัลของประเทศไทย
[สูญเสียรายได้ เมื่อไร้ฮอลล์คอนเสิร์ต]
แม้ประเทศไทยจะมีฮอลล์และสนามกีฬาซึ่งใช้ในการจัดคอนเสิร์ตได้อยู่บ้างแล้ว แต่ยุทธนา บุญอ้อม หรือที่รู้จักกันว่า ‘ป๋าเต็ด’ ผู้ที่อยู่ในวงการบันเทิงและอีเวนต์มาหลายสิบปี มองว่าโครงสร้างพื้นฐานกลับถูกละเลย
ป๋าเต็ด ยกราชมังคลากีฬาสถานมาเป็นตัวอย่าง ว่าแม้จะออกแบบได้ดีอยู่แล้ว แต่คล้ายกับยังไม่สมบูรณ์ เขามองว่าหากสนามราชมังฯ มีหลังคาจะทำให้สามารถแบ่งพื้นที่กับการจัดอีเวนต์ต่างๆ ได้ แต่เมื่อไม่มีหลังคา ทั้งอีเวนต์และกีฬาก็มักจะไปกระจุกกันอยู่ในช่วงต้นปีท้ายปีซึ่งฝนมักจะไม่ค่อยตก ตรงนี้ทำให้ผู้จัดอีเวนต์กังวล และทำให้การกีฬาแห่งประเทศไทยขาดรายได้
นอกจากนั้นแล้ว การคมนาคมถือเป็นปัญหาหลักอย่างหนึ่งเช่นกัน ป๋าเต็ด กล่าวว่าหลายคนหากบอกว่าคอนเสิร์ตจัดที่สนามราชมังฯ ก็ท้อแล้ว รถติด ไม่มีที่จอดรถ หรือหากจะไม่ขับรถไป ขนส่งสาธารณะก็ยังไม่พร้อม
“เราไม่มีสถานที่พร้อมที่จะจัด ตรงนี้สูญเสียรายได้ไปหลักเป็นพันล้านเลยนะครับ รายได้นี้ มันไม่ได้ตกไปที่บริษัทผู้จัดคอนเสิร์ตอย่างเดียวนะ ทุกคนที่เกี่ยวข้อง โรงแรม อาหาร ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวบินมาดูคอนเสิร์ต เขาก็ท่องเที่ยว ไปซื้อของไปจับจ่ายไปทานอาหาร วินมอเตอร์ไซค์ ทั้งหมดนี้ก็สูญเสียรายได้ตรงนั้นไปด้วย” ป๋าเต็ด กล่าว
[กว่า 1,000 อีเวนต์ต่อปี และยังโตได้อีก]
ป๋าเต็ด ประเมินให้สำนักข่าว TODAY ฟังว่าตลาดอีเวนต์ในประเทศไทยปีที่แล้ว (2567) มีการจัดอีเวนต์ดนตรี ทั้ง Music Festival และคอนเสิร์ตกว่า 1,115 อีเวนต์ นี่เป็นตัวเลขที่นับเฉพาะงานที่ขายบัตรไม่รวมงานที่จัดให้ชมฟรี
เฉพาะ Music Festival มีกว่า 300 งานต่อปีหรือเฉลี่ยได้ว่าอาทิตย์ละ 2 งาน มีมูลค่าจากการขายบัตรกว่าหมื่นล้านบาท ป๋าเต็ดระบุว่านี่เป็นตัวเลขที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า Show Bussiness มันโตขนาดนี้
“อุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่แล้วก็พร้อมที่จะเติบโตฮะ หมื่นกว่าล้านนี้ ฟังดูเหมือนเยอะ แต่จริงๆ แล้ว โห มันยังโตได้อีกแบบสบายๆ เลย มันยังไปได้อีกไกลเลยนะฮะ ดังนั้นเวลาที่ไม่ว่าจะ
รัฐบาลไหนก็ตามพูดว่านี่คือ Soft Power นี่คืออุตสาหกรรมที่เขาจะช่วยกันส่งเสริม มันจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว เราตื่นเต้น ในฐานะที่เป็นคนที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ เราอยากให้เป็นอย่างนั้น แล้วเราอยากได้รับการสนับสนุนแน่ๆ มันเป็นอุตสาหกรรมที่ถ้าสนับสนุนอย่างถูกต้องมันเติบโตได้ มันไม่ต่างอะไรกับอีกหลายอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล” ป๋าเต็ด กล่าว
เขาเสริมว่านักท่องเที่ยวอยากมาเที่ยวเมืองไทยอยู่แล้ว การมีพื้นที่จัดเทศกาลดนตรีหรือคอนเสิร์ตคือการเพิ่มเหตุผลให้กับเขา ไทยเรามีความเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้วในเรื่องของพื้นที่ ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ เพียงแต่สร้างเหตุผลอื่นๆ ในการดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามา
[เทศกาลดนตรีแบบไทย ขายโลกได้]
หากพูดถึง Music Festival ในประเทศไทย เขามองว่าครั้งแรกๆ คือการจัดงาน ‘เทศกาลบันเทิงคดี’ ของนิตยสารและรายการบันเทิงคดี โดยคุณซัน มาโนช พุฒตาล
ป๋าเต็ดมองว่าเทศกาลบันเทิงคดีในครั้งนั้นประกอบไปด้วยนิทรรศการ และคอนเสิร์ต มีทั้งเวทีแสดงดนตรี และการตั้งบูทจากร้านรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวงการดนตรี จึงถือเป็นเทศกาลดนตรีดีๆ นี่เอง เพียงแต่ ณ วันนั้น คนไทยอาจจะยังไม่คุ้นชินกับคำนี้
หลังจากนั้นระหว่างที่ ป๋าเต็ด ประจำอยู่ที่คลื่น Fat Radio เขาจึงได้เอาแรงบันดาลใจจากงานเทศกาลบันเทิงคดี มาทำอีเวนต์ขึ้นเพื่อให้แฟนรายการได้รวมตัวกัน มีเวทีสำหรับศิลปินที่เปิดในคลื่น มีโซนหนังสือทำมือ มีโซนฉายหนังสั้น จึงเกิด ‘Fat Festival’ ขึ้นมา และหลังจากนั้นไม่นานเทศกาลดนตรีก็มีให้เห็นเต็มไปหมดในประเทศไทย
เมื่อคนไทยเริ่มชินกับเทศกาลดนตรี และผู้จัดไทยเองก็เริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น การจัด Music Festival อย่าง ‘Big Mountain’ จึงเกิดขึ้น แต่ก็ต้องปรับตัวกับพฤติกรรมของคนไทยอยู่เรื่อยๆ เช่น ในปีแรกมีรถรับส่ง เนื่องจากคนไทยมักจะไม่เดินไกล แต่หลังๆ เมื่อคนชินกับเทศกาลดนตรีแบบต่างประเทศมากขึ้น จึงปรับเปลี่ยนไป
ป๋าเต็ด การันตีว่าการสร้าง IP (Intellectual Property หรือ ทรัพย์สินทางปัญญา) ทางด้านอีเวนต์ของไทยเราเองนั้น “สบายมาก” เนื่องจากค่อนข้างได้เปรียบในเชิงโลเคชันอยู่แล้ว มีแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสร้างขึ้นมาได้ในระยะเวลาอันสั้น ทำให้มีพื้นที่ในการจัดงาน
นอกจากนั้นยังมีศิลปินที่ดึงดูดชาวต่างชาติ และมีทีมงานที่พร้อมไปด้วย Creative Ideas ซึ่งจะสามารถทำให้เกิดอีเวนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ได้ อย่างงาน S2O สงกรานต์สาดน้ำและดนตรี EDM ก็สามารถส่งออกไปประเทศอื่นได้
[เปลี่ยนขั้วรัฐบาล ปัญหาใหญ่ ทำได้แค่ Quick Win]
อย่างไรก็ตามปัญหาใหญ่ที่ ป๋าเต็ด เห็นด้วยคือการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลทำให้การผลักดันอุตสาหกรรมดนตรีนี้ทำได้แต่ ‘Quick Win’ หรือโปรเจกต์ระยะสั้น มากกว่าการที่จะวางเป็นนโยบายระยะยาวเพื่อผลักดันให้เห็นผล
“ผมจะไม่บอกว่ารัฐบาลไหนดีกว่ารัฐบาลไหน เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นแล้ว ผมรู้สึกว่าเป็นคล้ายๆ กันก็คือหลายคนมองไปที่ Quick Win ตลอดเวลา เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลที เราทำอะไรที่มันจะ Quick Win ดี มันก็เลยจะได้แต่เรื่องที่ Quick Win แต่มันไม่ยั่งยืน”
“สิ่งที่มันหายไป ผมว่ามันไม่ใช่เฉพาะอุตสาหกรรมอีเวนต์อย่างเดียวหรอก มันคือทำไมไม่ทำอะไรที่มันต่อเนื่อง ยั่งยืน คิดให้มันยาวๆ ไม่ต้อง Quick Win อย่างเดียว ก็แบบ Slow Win บ้างก็ได้นะฮะ แต่ว่าทำยังไงให้มันให้มันยั่งยืนมากกว่า ซึ่งอันนี้มันก็แน่นอนล่ะ การเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยมัน มันย่อมมีปัญหา ดังนั้นผมว่าสิ่งหนึ่งที่จะช่วยกันได้คือ ทำยังไงมันจะก่อให้เกิดหน่วยงานราชการหรือกึ่งราชการที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนรัฐบาลกี่มุมกี่ครั้งก็ตามที” ป๋าเต็ด กล่าวทิ้งท้าย


![[ประมวลภาพ] เหนือคำบรรยายสมการรอคอย ใน “Omoinotake One Man Live in Taipei & Bangkok”](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fimages.workpointtoday.com%2Fworkpointnews%2F2025%2F12%2F18194713%2F1766062032_006495-workpointtoday.webp&w=2048&q=75)







