เตรียมลงมติพรุ่งนี้ (4 ก.ย.) นายกฯ กล่าวปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ บอก “ฟ้าหลังฝน ย่อมสดใสเสมอ” เล็งกระตุ้นศก. 4 เดือนสุดท้าย ปลายปี 64
วันที่ 3 ก.ย. 2564 เวลา 18.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวปิด อภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยสรุปว่า โควิด-19 เป็นเสมือนคลื่นพายุลมแรงถึงแรงมาก ที่พัดผ่านเข้าไปในแต่ละพื้นที่ ด้วยขนาดที่แตกต่างกัน แต่ได้แพร่กระจายไปทั่วบริเวณของโลกใบนี้ และคลื่นนี้ยังคงเป็นคลื่นลมแรงที่ยังไม่มีวี่แววเด่นชัดว่าจะสงบลงเมื่อใด
ประเทศไทยเป็นประเทศลำดับแรกๆ ที่เจอกับพายุโควิด-19 เราพบเจอคลื่นขนาดต่างๆ ตั้งแต่คลื่นเล็กในช่วงปีที่แล้ว จนมาถึงวันนี้ ที่เราประสบกับคลื่นขนาดใหญ่ และแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้เป็นประเทศที่รับมือกับโควิด-19 ได้ดีที่สุด แต่ยืนยันว่าเรารับมือได้ในระดับที่ดี และเต็มกำลังความสามารถของทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายสาธารณสุข ฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ทำงานอย่างแข็งขัน และเสียสละ และที่สำคัญคือ ประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการที่รัฐบาลกำหนดขึ้น ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ให้ความเข้าใจและร่วมกันรวมพลังฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ไปพร้อมๆ กัน
ข้อกล่าวหาที่ว่า การมีคนตายเพราะโรคระบาดโควิด รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ ให้ความสำคัญสูงสุด และได้พยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อแก้ปัญหาสู้กับอุปสรรคต่างๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้อัตราการหายป่วยของไทย มากกว่า 85% ต่อผู้ติดเชื้อในประเทศ หมายถึง แม้จะติดเชื้อจนป่วย แต่ก็หายป่วย 85 คน จาก 100 คนที่ป่วย ด้วยความเสียสละ ทุ่มเทของบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า และหน่วยสนับสนุนทั้งประเทศ ด้วยความร่วมมือของทุกคน ด้วยวัคชีน และด้วยการบริหารสถานการณ์ของรัฐบาล และภาคเอกชน จิตอาสาต่างๆ เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ รักษาชีวิตประชาชน
รัฐบาลสามารถลดอัตราการเสียชีวิต ต่อการติดเชื้อ ได้มากกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของโลกถึง 2 เท่า และมากกว่าหลายประเทศมหาอำนาจ ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่กว่าไทย หรือแม้กระทั่งประเทศในยุโรปบางประเทศ ที่มีทรัพยากรด้านการเงินและด้านสาธารณสุข มากกว่าไทยมาก
การควบคุมโรคที่สมดุลกับการดำเนินชีวิตไม่ใช่เป็นการกำจัดโรค ให้หมดสิ้นไปจากประเทศ จากโลก เพราะโรคนี้ สุดท้ายแล้ว ก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นทั่วโลกเหมือนโรคไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย โรคไข้หวัดใหญ่
สำหรับบทบาทของวัคซีนอาจเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยลดการติดเชื้อ ลดการป่วยรุนแรง และลดการเสียชีวิต แต่ไม่ได้ทำให้เชื้อโรคหายไปจากโลกได้ ดังนั้น จำเป็นต้องปรับตัว ต้องมองหาแนวทางใหม่ ก้าวผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน หมายถึง เราจำเป็นต้องมีแนวทางการควบคุมโรคแนวใหม่ที่สมดุลกับการดำเนินชีวิตที่ปลอดภัยจากโควิด-19
เรื่องเศรษฐกิจในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ รัฐบาลก็เตรียมการกระตุ้นเศรษฐกิจไว้อย่างต่อเนื่องในโครงการคนละครึ่ง – ยิ่งใช้ยิ่งได้ – มาตรการรักษาการจ้างงานเพื่อรองรับคนว่างงานและนักศึกษาจบใหม่ให้มีรายได้ – บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยทุกมาตรการ ทุกโครงการ จะดำเนินการอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และต้องมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว
ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ได้ยินข้อมูลประเด็นต่างๆ มากมาย ยินดีรับฟังทุกข้อมูล ทุกความเห็น ทุกข้อเสนอแนะแนวทางให้กับรัฐบาล โดยรัฐบาลจะนำไปปรับปรุง แก้ไขเพื่อลดจุดอ่อนในการทำงาน ที่อาจจะยังมีอยู่
ตนไม่เคยปฏิเสธทุกอย่างที่จะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน นี่คือคำมั่นของตน ที่จะทำงานเพื่อคนไทยทุกคน ที่กำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดในครั้งนี้ พร้อมๆ กับชาวโลก
“รัฐบาลจะร่วมมือกับทุกฝ่าย ทำหน้าที่อย่างที่ที่สุด เพื่อนำพาประเทศไทยของเรา ก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามที่เราคาดหวัง อย่างไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ เราชาวไทยเชื่อว่า ฟ้าหลังฝน ย่อมสดใสเสมอ แม้จะไม่มีใครบอกได้ว่าวิกฤตโควิดจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ แต่ความหวัง จะเป็นพลังสำคัญให้เราก้าวข้ามความยามลำบากในวันนี้ พร้อมกับความรัก ความสามัคคีของคนในชาติจะเป็นแรงขับเคลื่อนบ้านเมืองของเราไปสู่จุดหมายร่วมกันโดยสวัสดิภาพ ทุกๆ คน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้าย










