ไม่รู้ว่าดาวสภาฯ ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ครั้งแรกของรัฐบาลภายใต้หัวเรือ นายกฯ แพทองธาร ครั้งนี้จะเป็นใคร แต่เชื่อว่า ชื่อของ รองประธานฯ คนที่ 2 ภราดร ปริศนานันทกุล หรือ รองฯ แบด เป็นคนหนึ่งที่ถูกค้นหาชื่อ
ในระหว่างวิวาทะ ‘กีกี้’ เดือดกลางดึกค่ำคืนแรก ของการอภิปราย (24 มี.ค.) ทำให้ รองฯ ภราดร ที่รับหน้าที่ในตอนนั้น ต้องตัดสินใจควบคุมการประชุม ด้วยการลุกยืนขึ้น จนกลางเป็นช็อตจดจำหนึ่งของการประชุมนี้
ตอนหนึ่งของรายการพิเศษ TODAY LIVE ของสำนักข่าวทูเดย์ วันนี้ (26 มี.ค.) มีโอกาสพูดคุยกับ รองประธานคนที่ 2 สั้นๆ เอาไว้ ในบรรยากาศสบายๆ ต่างกับระหว่างใส่สูทผูกไท นั่งบนบัลลังก์
[การลุกยืนควบคุมการประชุม เกิดขึ้นได้ยังไง?]
ข้อบังคับบอกไว้ว่า หากคนที่ทำหน้าที่เป็นประธานลุกขึ้นยืน คนที่อภิปรายอยู่ หรือลุกขึ้นยืนอยู่ ต้องนั่งลงทันที ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 ในข้อ 77 เช่นเดียวกับการ ‘เคาะค้อน’ อย่างที่พบได้บ่อยกว่า
ภาพการลุกยืนบนบัลลังก์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกพิสดารอะไร ตามคำอธิบายของ ภราดร
“จริงๆ ข้อบังคับข้อนี้ คนทำหน้าที่ประธาน ไม่ค่อยได้หยิบขึ้นมาใช้ นานๆ เกิดขึ้นสักที ด้วยสถานการณ์ไม่อยากให้ยืดเยื้อ…ถ้าทะเลาะกันด้วยเรื่องกระพี้ เรื่องไม่มีสาระ กำลังจะยกนิยามกีกี้กันแล้ว เถียงกันยังไงก็ไม่จบ เพราะต่างคนก็เห็นกันคนละแบบ”
ภราดร เล่าต่อว่า ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน บรรยากาศที่ประชุมตอนนั้น ผู้ติดตามทางบ้านอาจไม่ได้ยินเสียง ไม่มีใครฟังใครแล้ว อย่าง สส.วิโรจน์ ซึ่งถูกพาดพิงก็เตรียมประท้วงแล้ว ด้าน สส.ฟากรัฐบาลเองก็ยืนเป็นกลุ่มก้อนแล้ว
“พูดก็ไม่มีใครได้ยินแล้ว ผมบอกให้ทุกคนนั่งลง ก็ไม่ได้ยินแล้ว ต่างคนก็ต่างตะโกน พอปิดไมค์ก็ถกเถียงกันแล้ว”
แต่แล้วพอตัดสินใจยืนขึ้น ภราดร ก็ขอบคุณสมาชิกทุกคน ที่ยอมรับ และทำตามระเบียบ
[แรงกดดันของเก้าอี้รองประมุขสภาล่าง]
“ทุกคนมีบ้าน มีพรรคการเมืองสังกัด ถ้าไม่มีพรรคก็ไม่ได้เป็นผู้แทน เป็นรองประธานไม่ได้”
นับเป็นสิ่งแรกที่ ภราดร อยากสื่อสารถึงทุกคน เพื่อเล่าต่อว่า แต่ละพรรคมีแนวทางและหลักคิดของตนเอง แต่เมื่อก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ประธานสภาฯ ก็ต้องทำหน้าที่อย่างไม่เอนเอียงที่สุด
“ยึดข้อบังคับ ยึดเหตุผล ยึดรัฐธรรมนูญ เป็นหลักการทำหน้าที่ ถ้ายึดความถูกใจไปไม่ได้ เพราะทุกการวินิจฉัยมีทั้งคนถูกใจ และไม่ถูกใจเสมอ”
ถึงอย่างนั้น การประท้วงด้วย ข้อบังคับที่ 9 ว่า ‘ประธานต้องมีความเป็นกลาง’ ก็ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จากทุกฟากฝั่ง “จะวินิจฉัยให้ถูกใจ คงเป็นไปไม่ได้ ถึงต้องวินิจฉัยให้ถูกต้อง แล้วเมื่อนั้นใครจะว่าเราไม่ได้”
นั่นถึงทำให้ ภราดร ต้องเตรียมตัวอย่างหนัก โดยเฉพาะในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี “เหมือนต้มน้ำไม่เปิดฝา น้ำเดือดกำลังจะระเบิด ผมรู้สึกว่าบรรยากาศน่าจะรุนแรง ถึงต้องเตรียมตัว”
เริ่มตั้งแต่ทำการบ้านกับกฎข้อบังคับ รัฐธรรมนูญ รวมถึงย้อนดูการอภิปรายตั้งแต่อดีต เพื่อศึกษาข้อประท้วงของสมาชิก และคำวินิจฉัยของประธานว่าเป็นไปยังไง
“การอภิปรายสมัยผมเป็นผู้แทนใหม่ๆ ต่างกันพอสมควร เมื่อก่อนท่านสมัคร ท่านเฉลิม คุณชวน คุณอภิสิทธิ์ ท่านนิพิฏฐ์ ลีลาท่าทาง ข้อมูลเข้มข้นมาก ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็รุนแรงมาก”
“แต่ตอนนี้มันเบาลงมาพอสมควร ผมเชื่อว่า ด้วยยุคสมัยที่ต่างกัน คนสมัยใหม่ รุ่นใหม่ เขาเข้าถึงข้อมูลรวดเร็วและลึกกว่า ทำให้การอภิปรายเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระ ลีลาและวาทะกรรมน้อยลง”
[พ่อ-ลูก รองประธานสภาฯ]
“ผมเป็นนักการเมืองอาชีพ เป็นผู้แทนมาตั้งแต่ ปี 2550 แล้ว ไม่เคยทำอาชีพอื่น มีอาชีพเดียวครับ”
หากใครติดตามการเมืองมาตลอด อาจทราบประวัติกันอยู่บ้าง กับการเป็นผู้แทนใน สส.จังหวัดบ้านเกิด ภายใต้ 2 สังกัด คือ ชาติไทยพัฒนา ก่อนจะมา ภูมิใจไทย จนได้รับมอบหมายเป็นโฆษกพรรค
และต้องยอมรับ อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ชื่อนี้เป็นที่รู้จัก คือ การเป็นลูกชายของ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง ที่ครองเก้าอี้ยาวนาน และเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีถึงสองกระทรวง
ภราดร เล่าว่า ตั้งแต่รับตำแหน่งรองประธานสภาฯ โอกาสลงพื้นที่ลดลงมาก เพราะหน้าที่นอกเหนือจากการประชุมก็เยอะ ทั้งงานประชาสัมพันธ์ งานวิชาการ และอื่นๆ ด้วยนโยบายหลักของประธาน ที่ต้องทำให้เป็น สภาฯ ของประชาชน
เปิดมาถึงตอนนี้ พลาดไม่ได้ที่จะถามถึง การปรับปรุงสระมรกต กลางสัปปายะสภาสถาน ให้เป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ต้องใช้งบ 150 ล้านบาท
รองประธานรายนี้ จึงตอบคำถามนี้ทิ้งท้ายว่า เป็นไปตามนโยบาย ที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงพื้นที่ใช้ประโยชน์ เพื่อเป็นห้องสมุด ที่คล้ายกับศูนย์การเรียนรู้รูปแบบใหม่ ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงของการออกแบบ










