หากเรายังปล่อยให้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นเพียงการ ‘แก้ปัญหาภัยพิบัติประจำปี’ ต้นทุนค่าเสียโอกาสของประเทศไทยจะพุ่งไปแตะถึง 3,000-6,000 ล้านบาท
ฝุ่น PM 2.5 วิกฤตที่เกิดขึ้นทั้งโลก การศึกษาใหม่เกี่ยวกับระดับมลพิษทางอากาศทั่วโลกในแต่ละวัน แสดงให้เห็นว่าแทบจะไม่มีที่ไหนในโลกที่มีอากาศที่ดีปลอดภัยต่อสุขภาพ
ตอนนี้พื้นที่ทั่วโลก 99% หาอากาศคุณภาพดีได้ยากมาก คนทั้งโลกมีเพียง 0.001 % เท่านั้นที่ได้สิทธิ์สูดอากาศระดับมาตรฐาน หรือคิดเป็น 1 แสนคน จะมี 1 คนเท่านั้นที่มีโอกาสได้อากาศระดับดีในมาตรฐาน
World Economic Forum รายงานว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจาก PM 2.5 ส่งผลโดยตรงต่อคนทั้งโลกกว่า 80% มูลค่าความเสียหายทั้งค่ารักษาพยาบาล และผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมประมาณ 8.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 6.1 % ของจีดีพีทั้งโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการตายและการเจ็บป่วยจากมลพิษทางอากาศ
[ ตัวอย่างการจัดการฝุ่น PM2.5 ในต่างประเทศ ]
ประเทศแถบยุโรปเหนือ อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ (ไม่นับสหรัฐอเมริกา) ที่ว่ามีรายงานว่าเป็นประเทศที่มีอากาศเข้าขั้นปลอดภัยประเทศเหล่านี้ เขาทำาให้อย่างไร ที่แม้เราจะได้ยินข่าวเรื่องไฟป่า ไปจนถึงทำาอุตสาหกรรมเหล็ก เหมืองแร่เหล็ก โรงไฟฟ้าที่เชื่อมโยงถ่านหิน แต่ภาครัฐเขาก็ “เข้มงวดมาก” ทุ่มงบประมาณในการบริหารจัดการต่างๆ ค่อนข้างดีและอยู่ในมาตรฐาน
นอกจากนี้ ความที่ออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ พื้นที่เป็นเกาะมีลมบก ลมทะเล ทำให้ช่วยเจือจางปริมาณฝุ่นได้ค่อนข้างดี รวมทั้งความเป็นเกาะ การเคลื่อนย้ายตัวของฝุ่นข้ามแดน ก็คอนโทรลได้ง่ายกว่า เพราะฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่แค่ฝุ่นฟุ้ง ความที่มันมีขนาดเล็กมากมันสามารถลอยไปได้ไกล 200-300 กิโลเมตรได้เลย
ส่วนในยุโรปเหนือ และอเมริกาเหนือ ที่มลพิษน้อย ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีปัญหาการเผาไหม้ทางการเกษตรในที่โล่งมากนัก และมีกฎหมายอากาศสะอาดที่เข้มงวดและเข้มแข็ง ทำให้การเผาไหม้ในที่โล่งมีการควบคุมดูแล และประเทศกลุ่มนี้ก็ไม่ได้เพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยว พวกข้าวโพดอ้อยมากเท่าแถบเอเชีย
ขณะที่อีกจุดน่าสังเกตคือ เมื่อเทียบพื้นที่ในเชิงจำนวนประชากร ไม่ได้หนาแน่น ไม่ได้มีสิ่งปลูกสร้างหรือกิจกรรมกิจวัตรอะไรที่ทำาให้เกิดควันมลพิษ รวมทั้งความที่ประเทศในแถบนี้มีพื้นที่สีเขียวเยอะก็ช่วยเป็นตัวกรองดักจับฝุ่น
[ ต้นทุนค่าเสียโอกาสจากอากาศพังของไทย ]
ผลการศึกษาจากคณะสาธารณสุขศาสตร์และเวชศาสตร์ป้องกัน มหาวิทยาลัยโมนาช นำเสนอการศึกษาที่น่าตกใจว่า ประมาณ 99.82% ของพื้นที่บนโลก สัมผัสกับระดับของฝุ่นละออง PM2.5 และมีเพียง 0.001% ของประชากรโลกเท่านั้นที่หายใจเอาอากาศที่ถือว่ายอมรับได้
พูดง่าย ๆ ในประชากร 1 แสนคน จะมี 1 คน เท่านั้น ที่ได้สูดดมรับอากาศที่ดี
และแน่นอนว่า ผลสำรวจก็บอกชัดว่าพื้นที่ เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ แชมป์อากาศพังมากที่สุดในโลก เพราะเป็นพื้นที่เข้มข้นมีปริมาณ PM 2.5 สูงที่สุดในโลก
ถ้าไปดูภูมิภาคที่พอจะมีอากาศคุณภาพดีตามเกณฑ์องค์การอนามัยโลก ตอนนี้ คือ ยุโรปเหนือ อเมริกาเหนือ ส่วนฝั่งเอเชียมีแค่สองประเทศแถบโอเชียเนียที่อากาศเข้าขั้นปลอดภัยจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก คือ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
เมื่อผลสำารวจบอกเราว่า วันนี้ในคน 1 แสนคน จะมีเพียง 1 คน เท่านั้น ที่ได้สูดดมรับอากาศที่ดี
นั่นก็หมายความว่า หลายประเทศทั่วโลกก็มีต้นทุนและราคาที่ต้องจ่ายในการดูแลประชากรในเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากมลพิษทางอากาศจึงกำลังเป็นปัญหาสำาคัญที่เรามองข้ามไม่ได้
ส่วนประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ผลระทบทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่นละอองในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คิดเป็นเม็ดเงินรวม ราว 3,200– 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าเสียโอกาสด้านสุขภาพ ซึ่งก็คือค่ารักษาพยาบาล ค่าหน้ากากอนามัย เครื่องฟอกอากาศ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยกว่า 75% เป็นค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล
นอกจากนั้นยังมีค่าเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยว 1,000- 2,400 ล้านบาท เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติบางส่วนหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และปริมณฑล และค่าเสียโอกาสของภาคธุรกิจอื่น เช่น ร้านอาหารข้างทาง สวนอาหาร ตลาดนัดอีกไม่น้อยกว่าปีละ 200-600 ล้านบาท
ขณะที่เรื่องของฝุ่น PM 2.5 ในเชิงผลกระทบทางเศรษฐกิจจะกระทบกับเรื่องการท่องเที่ยวไทยทั้งในแง่ภาพลักษณ์ของประเทศที่มีเมืองท่องเที่ยวสำคัญทั้ง กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ติดอันดับต้นๆ เมืองอากาศยอดแย่ของโลก
ถ้าจำกันได้ก่อนหน้านี้ในปี 2562 ก็เคยเกิดปรากฏการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพราะปริมาณฝุ่น PM2.5 สูงเกินค่ามาตราฐานไปมาก
[ หน่วยงานไทยมีข้อมูลเพียงพอหรือไม่ ? ]
มีการวิเคราะห์ปัญหาว่าทำไมเราถึงชะลอ PM 2.5 ไม่ได้ ว่า หลักๆ หน่วยงานรัฐของไทยมีข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ของ PM 2.5 ไม่ลงลึกเพียงพอในระดับที่จะวางแผนแก้ปัญหาให้ตรงจุดได้ คือ จะแก้ได้ เราต้องมีข้อมูลทางภูมิศาสตร์ของฝุ่น PM2.5 ที่เรียกว่า airshed ว่ากินพื้นที่เท่าไรในแต่ละภาค และแต่ละแห่งครอบคลุมพื้นที่จังหวัดใดทั้งในประเทศและนอกประเทศ ว่า PM2.5 ที่พัดมาจากประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในขอบเขตเท่าไหร่
เมื่อฐานข้อมูลแบบละเอียดไม่มีก็ทำให้เชื่อมโยงไม่ได้ นำาไปสู่การแก้ไม่ตรงจุด ไม่เข้าเป้า ซึ่งการทำให้มีข้อมูลละเอียดได้ รัฐก็ต้องลงทุน “สร้างระบบนี้ขึ้นมา”
ถ้าข้อมูลมีพร้อมก็จะพบแหล่งกำาเนิดโซน PM 2.5 ที่ถูกจุด โดยที่ภาครัฐต้องเชื่อมโยงข้อมูลนี้ทั้งหมดให้ได้ ก็จะตอบโจทย์การบริหารจัดการ นำไปสู่การแก้ปัญหากับภาคธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้องในเรื่องปลูกอ้อย ข้าวโพดได้แม่นยำเพื่อจะดึงให้เอกชนได้มาร่วมมือแก้ PM 2.5 ไปด้วยกัน
รวมทั้งมีข้อมูลแม่นยำาเพื่อไปเจรจาทำข้อตกลงกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีประเด็นผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดนที่ไทย อย่าง เมียนมาร์ ลาวเป็นต้น รวมทั้งภาครัฐก็จะสามารถออกกฎหมาย ปรับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในประเทศได้ถูกจุดด้วย
นอกจากนี้รัฐก็ต้องส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง ทั้งเพิ่มการลงทุน และกำจัดการผลิตที่ใช้ระบบล้าสมัย และเร่งปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อมในเมือง
ส่วนความเคลื่อนไหวเสนอ ร่างกฎหมาย กำกับดูแลการจัดการอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ หรือเรียกย่อๆ ว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อทำให้สิทธิในอากาศบริสุทธิ์ของประชาชนนี้เกิดขึ้นจริงก็ต้องเร่งคลอดกฎหมายนี้ให้ออกมาได้แล้ว หลังล่าช้ามานาน
นี่เป็นตัวอย่างแนวทางแก้ปัญหาแค่เสี้ยวเดียว เพราะในรายละเอียดการแก้ปัญหา PM 2.5 นั้น ต้องลงลึกและเชิงรุกอย่างหนักต่อเนื่องหลายปี แต่ประเทศไทยยังดูเหมือนจะแก้ปัญหานี้แบบภัยพิบัติประจำาปีแต่เพียงเท่านั้น
หลายประเทศที่ประสบความสำาเร็จในยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือแม้แต่จีนที่แม้จะยังมีปัญหานี้เป็นระยะ แต่ก็ถูกนำไปยกตัวอย่างเป็นโมเดลระดับโลกว่ามีแนวทางแก้ปัญหานี้ได้เห็นผล
ประเทศเหล่านี้ทุ่มงบประมาณและเวลาแก้ไขลดฝุ่น PM 2.5 เป็นทศวรรษ และยังคงทำต่อเนื่องเพราะ PM 2.5 เกิดขึ้นมาได้เสมอ หากปล่อยปัญหาสะสมไว้ผลกระทบที่คำนวณออกมาเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจและต้นทุนสุขภาพคนในประเทศจะมีมหาศาล
สรุปตอนนี้ สำหรับประเทศไทย ความหวังว่าคนเจนเนอเรชั่นถัดไปจะได้สูดอากาศที่ปลอดภัย มีมลพิษลดน้อยลง…ยังคงเลื่อนลอย










