ผู้นำต้องอดทนและเข้าใจ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ รับความแข็งกร้าว ทำให้เสียเพื่อนแต่ยอมแลกเพื่อประเทศ

ผู้นำต้องอดทนและเข้าใจ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ รับความแข็งกร้าว ทำให้เสียเพื่อนแต่ยอมแลกเพื่อประเทศ

การเมือง

‘พล.อ.ประยุทธ์’ บอก ผู้นำที่จะประสบความสำเร็จต้องมีความอดทนและเข้าใจ พร้อมเผยสไตล์การทำงาน ยอมรับความแข็งกร้าว ทำให้ต้องเสียเพื่อน แต่ยอมแลกเพื่อประเทศ

วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานสัมมนาประจำปี “Bangkok Post Forum 2022” ในหัวข้อ “Accelerating Thailand (เร่งเครื่องประเทศไทย)” ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ โดยตอนหนึ่งในกล่าวถึงการเป็นผู้นำและสไตล์การทำงานของตัวเอง ดังนี้

“การที่เราจะเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จนั้น เราต้องมีความอดทนและเข้าใจ เมื่อผลที่ได้อาจจะไม่เพอร์เฟค ไม่สมบูรณ์นะครับ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็เพื่อจะให้ชิ้นงานต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ ผมรู้ว่าถ้าเรามองสไตล์แบบนี้นั้น หลายท่านอาจจะมองเห็นว่าแหมเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจจริงๆ  กว่าจะทำได้สักที แต่มันก็เป็นวิธีการบริหารที่ผมเชื่อว่า สังคมเราจะได้เดินหน้าไปได้โดยไม่ทิ้งรอยแตกร้าวอย่างถาวรระหว่างคนกลุ่มต่างๆ”

“ผมก็ต้องทำงานสไตล์นี้นะครับ ท่านอาจสงสัยว่าเอ๊ะบางทีทำไมผมใจร้อนเกินไป บางทีผมก็ใจเย็นเกินไป ก็เพราะผมพยายามจะผสมผสานความแข็งกร้าวของผมเพื่อจะให้งานเดินหน้ากับความยืดหยุ่น เพื่อให้หลายกลุ่มหลายฝ่ายเดินไปด้วยกันได้”

“แน่นอนครับ ผมอาจไม่ได้ทุกอย่างตามที่ผมต้องการผมก็ต้องเรียงลำดับความสำคัญ ว่าอะไรที่ผมต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ก่อนและอะไรที่ผมควรจะปล่อยผ่านไปก่อน ไม่งั้นจะไม่ได้สักอย่างเลย”

“ผมตระหนักดีว่าบางครั้งความแข็งกร้าวของผมนั้น ทำให้ผมต้องเสียเพื่อน เสียมิตร แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็น ที่ผมต้องแลก เพื่อจะทำสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับประเทศให้เกิดขึ้นให้ได้”

สำหรับวิสัยทัศน์ต่อแนวทางในการทำงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า หลักการสำคัญ สรุปได้ใน 3 คำ คือ “ทำให้สำเร็จ” (GET THINGS DONE) คือการทำสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ และเตรียมประเทศให้พร้อมสำหรับอนาคต เพื่อลูกหลาน ให้ประเทศเดินไปข้างหน้า เจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนเป็นเส้นทางที่คนไทยจะต้องจับมือไปด้วยกัน รวมทั้งจับมือกับเพื่อนบ้านและสังคมโลกด้วย

หลายปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้รัฐบาลหลายสมัยมีความยากลำบากในการเดินหน้าประเทศ ผลที่ตามมาคือ ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย บนเวทีระดับโลกค่อยๆ ลดลง และคนไทยกว่า 70 ล้านคนสูญเสียโอกาสมากมาย

ขยายความกลยุทธ์ 3 แกนสำคัญ

แกนที่ 1 โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง การมีระบบคมนาคมทางราง ทางถนน สนามบิน  ท่าเรือทางทะเล และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ทุกคนซื้อข้าวของต่างๆ ได้ในราคาที่ถูกลง ทำสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น ค้าขายและบริการ ได้มากขึ้น ตลอดจนนำพานักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้มากขึ้น

แกนที่ 2 อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการเกษตรสมัยใหม่  อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า จะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของโลกในอนาคต ประเทศไทยจะต้องรีบเตรียมความพร้อมและก้าวเข้าสู่เทรนด์โลกนี้ให้ได้  เพราะคือหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของโลกในการสร้างความมั่งคั่ง สร้างงาน สร้างโอกาส สร้างความกินดีอยู่ดีให้คนเป็นล้านๆ และเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วย เน้นย้ำว่า เราต้องเดินหน้าให้เร็วกว่าประเทศอื่น ในการดึงเอาฐานการผลิตยานยนต์มาในประเทศไทย ให้ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ๆ ที่สำคัญของโลกมาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย และรักษาผู้ผลิตยานยนต์ปัจจุบันให้ยังอยู่ในประเทศไทยต่อไป

แกนที่ 3 ภาคการธนาคาร โดยขอให้ธนาคารเร่งหาวิธีการใหม่ๆ ใช้ในการประเมินความสามารถของผู้กู้ ที่เป็นคนตัวเล็ก ธุรกิจค้าขายเล็กๆ และคนที่ทำมาหาเลี้ยงตัวเอง โดยพิจารณาบนพื้นฐานความสามารถ และความตั้งใจที่จะชำระคืนเงินกู้ เพื่อเปิดโอกาส ให้คนจำนวนหนึ่ง จาก 30 ล้านคน ที่ไม่เคยกู้เงินธนาคารได้ ได้มีส่วนร่วมในการสร้างความรุ่งเรืองให้กับประเทศด้วย

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวถึง การเร่งเครื่องเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และภาคการธนาคารที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี รัฐบาลกำลังเปิด 3 เส้นทางเชื่อมต่อกัน เรียกว่า “เชื่อมไทยเดินหน้า”

“ถึงแม้ว่าจะต้องเจอกับโรคระบาดร้ายแรง แต่เรายังคงสู้อยู่บนเส้นทางที่มุ่งไปสู่เป้าหมายของเรา ผมต้องขอขอบคุณความร่วมมือจากพรรคร่วมรัฐบาล ความใจสู้ของข้าราชการไทย ความไม่ยอมแพ้ของภาคเกษตรกรและภาคเอกชน และที่สำคัญที่สุดคือ สปิริตของคนไทย ที่พร้อมร่วมมือกัน และเต็มใจที่จะเสียสละบางอย่าง เพื่อประโยชน์ของประเทศในวงกว้าง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พร้อมทั้งยกตัวอย่างความคืบหน้าที่สำคัญ ได้แก่ ภาคส่วนการธนาคาร โดยจะผลักดันให้ภาคการเงินของประเทศไทย ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและทำให้ประชาชนทุกกลุ่ม สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินต่างๆ ได้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

ภาคยานยนต์ไฟฟ้า ได้เดินหน้าอย่างเต็มกำลัง ซึ่ง FOXCONN หนึ่งในผู้ผลิตเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตโทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุด ได้ยืนยันแล้วว่า จะตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และ BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ยืนยันแล้วเช่นกันว่า จะตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย จึงถือเป็นความสำเร็จที่ได้ปฏิบัติการเชิงรุกในการดึงดูดผู้ผลิตรายใหม่ๆ ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย โดยนอกจาก 2 บริษัทนี้แล้ว ก็ยังมี MG, GWM, Volt และผู้ผลิตรถยนต์ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทยมายาวนาน อย่าง เบนซ์ และ TOYOTA ยืนยันจะใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน ซึ่งจะทำสิ่งต่างๆ นี้ให้สำเร็จเรียบร้อย ภายในไม่เกิน 12 เดือนข้างหน้านี้ และเมื่อทำสำเร็จประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็นประเทศผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกได้ ในที่สุด

ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและด้านดิจิทัล เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง เป็นจุดเชื่อมต่อทางทะเลทางหลักที่เชื่อมประเทศไทยกับโลก เป็นจุดที่รองรับมากกว่า 50% ของการส่งออกทั้งหมดของประเทศไทยและรองรับการส่งออกยานยนต์ และผลักดันอย่างเต็มที่ เพื่อเดินหน้าให้ได้อย่างรวดเร็ว ขยายส่วนสำคัญของโครงการ โดยภายในเวลา 2 ปีข้างหน้า ท่าเรือแหลมฉบังจะมีขีดความสามารถในการให้บริการเพิ่มเติมอีกประมาณ 30% นอกจากนั้น ได้เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการของท่าเรือขึ้นอีก 50% เพื่อรองรับการส่งออกยานยนต์ จากปัจจุบันรองรับการส่งออกได้ราว ๆ 2 ล้านคันต่อปี เพิ่มเป็น 3 ล้านคันต่อปี และจะสร้างท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นหนึ่งในห้า Gateway Port ที่ใหญ่ที่สุดของโลก รองรับเรือเดินสมุทรขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของโลก

ในเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ก่อสร้างเส้นทางรถไฟ เป็นระยะทางที่มากกว่าระยะทางทั้งหมดที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ซึ่งจะพลิกโฉมโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศไทยไปอย่างสิ้นเชิง และพลิกโฉมการเชื่อมต่อกับภูมิภาค ขนส่งได้เร็วขึ้น และค่าใช้จ่ายถูกลง เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น กระจายความรุ่งเรืองไปทั่วประเทศ ตลอดจนขยายเส้นทางระบบขนส่งมวลชนทางรางในเมือง และกำลังสร้างเพิ่มอีกเท่าตัว ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจะเปิดให้บริการได้ ในอีก 3 ปีข้างหน้า อีกทั้ง จะทำให้ระบบขนส่งมวลชนทางรางในเมืองของกรุงเทพฯ อยู่ในระดับเดียวกับที่โตเกียว และใกล้เคียงกับที่ลอนดอน ในเรื่องของระยะทางและจำนวนสถานี

ส่วนในภาคพลังงาน รัฐบาลมุ่งหวังให้มีพลังงานเพียงพอ โดยจะสร้างขีดความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้าประมาณมากกว่า 80,000 เมกกะวัตต์ มีพลังงานหมุนเวียน ประมาณ 16,000 เมกกะวัตต์  และให้กระทรวงพลังงานให้พิจารณาศักยภาพของในการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม

ภาพจาก : ทำเนียบรัฐบาล

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง