บาทแข็งสุดรอบ 4 ปี ภาวะ Shock Amplifier ที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย

บาทแข็งสุดรอบ 4 ปี ภาวะ Shock Amplifier ที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 กำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากสงครามการค้าโลก ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เริ่มบีบการส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่ฟื้นเท่าที่คาดหวัง

แต่สิ่งที่ยิ่งซ้ำเติมปัญหาให้รุนแรงขึ้น คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าผิดปกติ จนกลายเป็นปัจจัยที่เรียกว่า ‘Shock Amplifier’ หมายถึงเครื่องขยายแรงกระแทกที่ทำให้ทุกความเสี่ยงเดิมรุนแรงขึ้นไปอีก

[ บาทแข็งผิดจังหวะ ]

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ระบุว่าตลอดทั้งปี 2568 ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมามากกว่า 8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หรือแข็งที่สุดในรอบ 4 ปี และแข็งกว่าหลายประเทศคู่แข่งในภูมิภาค

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งแต่อย่างใด แต่เพราะปัจจัยภายนอกล้วนๆ เช่น การอ่อนค่าของดอลลาร์ และปัจจัยภายในอย่างการส่งออกทองคำที่พุ่งแรง ทำให้ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและมีเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตร

เพราะในภาพของความเป็นจริง เศรษฐกิจไทยกลับมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ โดยประเมินไว้เพียง 1.8% ในปีนี้ และคาดว่าจะเหลือเพียง 1.5% ในปีหน้า ซึ่งไม่สอดคล้องกับทิศทางค่าเงิน เมื่อค่าเงินบาทแข็งเกินพื้นฐาน จึงกลายเป็น ‘ตัวแปรผิดจังหวะ’ ที่ฉุดรั้งความสามารถแข่งขันของภาคธุรกิจ

ทั้งนี้ SCB EIC มองเงินบาทอยู่ในกรอบ 31.50-32.00 ในช่วงเดือนนี้ และจะแข็งค่าสู่ 31.0-32.0 ช่วงสิ้นปี 2568 และที่  31.5-32.5 ในช่วงสิ้นปี 2569

[ ปัจจัยที่ซ้ำเติมปัญหาเดิม ]

ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นไม่ได้สร้างปัญหาใหม่ แต่กลายเป็นตัวเร่งหรือที่เรียกว่า ‘Shock Amplifier’ ที่ทำให้ทุกความเปราะบางรุนแรงขึ้น

และผลของค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินจริงนี้ก็ไม่ได้กระทบทุกคนเท่ากัน แต่ตกหนักกับธุรกิจที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศและรายได้จากนักท่องเที่ยว ได้แก่

ผู้ส่งออกสินค้าเกษตร : สินค้าเกษตรเป็นกลุ่มที่พึ่งพาต้นทุนในประเทศสูง เมื่อส่งออกไปต่างประเทศ รายได้ที่เป็นดอลลาร์สหรัฐถูกแปลงกลับมาเป็นเงินบาทซึ่งแข็งขึ้น ทำให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนทันที ยิ่งเป็น SMEs ที่ไม่มีเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง ยิ่งเจ็บหนัก

อุตสาหกรรมท่องเที่ยว : แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมา แต่การใช้จ่ายกลับระมัดระวังขึ้น ขณะเดียวกันบาทแข็งทำให้ไทยดูแพงกว่าคู่แข่ง เช่น เวียดนามหรือจีนที่ค่าเงินอ่อนกว่า ส่งผลให้ไทยเสียเปรียบในการดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยคาดว่าปีนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 32.9 ล้านคน และ 34.1 ล้านคนในปีหน้า

SMEs ที่ทำตลาดส่งออก : ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากพึ่งพาการส่งออกเพื่อความอยู่รอด แต่กำไรหดตัวเพราะบาทแข็ง ซ้ำเติมปัญหาที่ SMEs กำลังเจออยู่แล้ว ทั้งรายได้เฉลี่ยยังไม่ฟื้นจากก่อนโควิด และบริษัท ‘ผีดิบ’ ที่ทำกำไรไม่พอจ่ายดอกเบี้ยก็เพิ่มขึ้น

นี่คือเหตุผลที่นักวิเคราะห์เรียกบาทแข็งว่า ‘Shock Amplifier’ เพราะมันไม่ได้เป็นแค่ปัจจัยลบ แต่ทำหน้าที่เหมือนตัวขยายเสียง ทำให้แรงกระแทกจากปัญหาเดิมรุนแรงกว่าที่ควรจะเป็น

[ ทางแก้ไขเชิงนโยบาย ] 

ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตต่ำต่อเนื่อง รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องมีมาตรการเชิงรุกเพื่อบรรเทาผลกระทบ โดย SCB EIC เสนอว่า

นโยบายการเงิน : คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1% ต้นปีหน้า เพื่อผ่อนคลายภาวะการเงิน ลดแรงดึงดูดเงินทุนไหลเข้า และช่วยให้ SMEs มีภาระดอกเบี้ยลดลง

การคลัง : ต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกและท่องเที่ยว โดยเฉพาะ SMEs ควรเน้นความรวดเร็วและตรงจุด ไม่ใช่กระจายวงกว้างจนผลไม่ชัดเจน

การบริหารค่าเงิน : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจต้องใช้มาตรการแทรกแซงค่าเงินในระยะสั้น ควบคู่กับการสื่อสารเชิงรุกเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และลดแรงเก็งกำไรจากตลาด

มาตรการเหล่านี้อาจไม่ได้แก้ปัญหาทั้งหมดในทันที แต่ถือเป็น เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยบรรเทาความเสี่ยง และเพิ่มเวลาที่มากขึ้นให้ธุรกิจไทยได้ตั้งหลักใหม่

เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าผิดปกติไม่ใช่เพียงตัวเลขในกระดาน แต่คือปัจจัยที่กำลังบั่นทอนความสามารถแข่งขันของเศรษฐกิจไทยอย่างเงียบๆ

คำถามคือ จะยอมให้ค่าเงินกลายเป็น ‘ตัวเร่ง’ ที่ทำลายฐานรากเศรษฐกิจหรือจะหาทางพลิกวิกฤตนี้ให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบเศรษฐกิจและการเงินของไทย?

แท็กที่เกี่ยวข้อง
TODAY BizviewWriterTODAY Bizview
TODAY Bizview by workpointTODAY
ข่าว สาระ ความรู้ ด้านธุรกิจในประเทศและต่างประเทศที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง