เวลาพูดถึงเศรษฐกิจไทย หลายคนอาจนึกถึงตัวเลข GDP การส่งออก หรือจำนวนนักท่องเที่ยว แต่สิ่งที่สะท้อนภาพจริงของเศรษฐกิจไทยได้ชัดที่สุด คือความเป็นอยู่ของ ‘ธุรกิจ SMEs’ ที่เป็นเหมือนหัวใจและเส้นเลือดฝอยของระบบเศรษฐกิจ เพราะเมื่อ SMEs แข็งแรง เศรษฐกิจก็หมุนเวียนได้ดี
แต่วันนี้ปัญหาที่น่ากังวลคือ แม้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นหลังโควิด แต่ SMEs ส่วนใหญ่ยังไม่กลับมามีรายได้เท่าเดิม กำไรต่ำ และบางส่วนกลายเป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ‘บริษัทผีดิบ’ หรือธุรกิจที่ยังยืนอยู่ ได้แต่ไม่สามารถมีกำไรพอจ่ายดอกเบี้ย
[ รายได้ SMEs ยังไม่เท่าก่อนโควิด ]
ทางศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินการฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจไทยหลังวิกฤตโควิดมีลักษณะ K-shape ธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มท็อป 1% มีรายได้ขยายตัวต่อเนื่อง และปัจจุบันมีสัดส่วนมากถึง 76% ของรายได้รวมทั้งระบบ ขณะที่ SMEs ส่วนใหญ่ยังมีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด แม้บางธุรกิจจะเริ่มกลับมาเดินได้ แต่ภาพรวมยังห่างไกลจากการฟื้นตัวเต็มรูปแบบ
ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นว่า SMEs กำลังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทั้งจากต้นทุนที่สูงขึ้น ความสามารถในการเข้าถึงตลาดที่จำกัด และข้อจำกัดด้านเงินทุนที่ทำให้ยากต่อการลงทุนเพื่อยกระดับธุรกิจกำไรต่ำ ‘บริษัทผีดิบ’ (Zombie Firms) หรือธุรกิจที่ทำกำไรไม่พอจ่ายดอกเบี้ยต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นชัดเจน
ธุรกิจลักษณะนี้มักอยู่ในกลุ่ม SMEs ที่ขาดความสามารถในการปรับตัว ทั้งจากข้อจำกัดด้านทุน แรงงาน และเทคโนโลยี ซึ่งหากไม่ได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม อาจเสี่ยงต่อการล้มละลาย และสร้างแรงสะเทือนต่อห่วงโซ่การผลิตในวงกว้าง
[ ความเปราะบางที่ลุกลามเศรษฐกิจ ]
SCB EIC เปิดเผยว่าปัจจุบันธุรกิจ SMEs คิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% ของจำนวนธุรกิจทั้งหมดในประเทศ และจ้างแรงงานจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อ SMEs เปราะบาง ย่อมกระทบต่อรายได้ครัวเรือนและเสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวม ปัญหานี้เชื่อมโยงกับตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด อัตราการว่างงานของแรงงานจบใหม่สูงขึ้น ชั่วโมงทำงานลดลง และรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนหดตัว
นอกจากนี้ การลงทุนจากภาคเอกชน แม้ยังขยายตัวเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของต่างชาติในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ไฟฟ้า และดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่ SMEs ไทยกลับถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะไม่สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้
ยิ่งไปกว่านั้น หาก SMEs ไม่สามารถฟื้นตัวได้ทันเวลา ความเปราะบางนี้อาจขยายวงกว้างไปยังสถาบันการเงิน เพราะธุรกิจกลุ่มนี้เป็นผู้กู้รายสำคัญของระบบธนาคาร หากรายได้และกำไรไม่เพียงพอจนเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ ปัญหา NPL (หนี้เสีย) ในระบบอาจเร่งตัวขึ้น ซ้ำเติมความเชื่อมั่นนักลงทุน และทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
[ ภารกิจหนักของรัฐบาลใหม่ ]
ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยโตเพียง 1.8% ปีนี้ และคาดว่าจะชะลอเหลือ 1.5% ในปีหน้า ความเปราะบางของ SMEs จึงกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ไข หากปล่อยให้ธุรกิจฐานรากเหล่านี้อ่อนแรงต่อเนื่อง อาจกลายเป็นบาดแผลเรื้อรังที่ฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตในระยะยาว
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเสนอว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินนโยบายใน 3 มิติหลัก ได้แก่
1.เข้าถึงแหล่งทุน : ลดความตึงตัวทางการเงิน ผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบายและใช้กลไกค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยให้ SMEs เข้าถึงเงินทุนหมุนเวียนและใช้ในการปรับโครงสร้างหนี้
2.ลดอุปสรรคและกฎระเบียบ : ปรับปรุงกฎหมายและขั้นตอนที่เป็นภาระต่อการทำธุรกิจ รวมถึงเร่งรัดกระบวนการอนุมัติที่ล่าช้า เพื่อให้ SMEs สามารถปรับตัวได้เร็วขึ้น
3.หาตลาดใหม่และยกระดับศักยภาพ : สนับสนุน SMEs ให้เข้าถึงตลาดต่างประเทศมากขึ้น ควบคู่กับการพัฒนาทักษะแรงงาน การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ และการผลักดันการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สุดท้ายในตอนนี้เศรษฐกิจไทยอาจเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ยังยืนต้นได้ แต่รากฝอยเล็กๆ อย่าง SMEs กำลังเหี่ยวเฉา หากรากเหล่านี้ไม่ถูกหล่อเลี้ยงให้ฟื้นขึ้นใหม่ ต้นไม้ใหญ่อาจไม่ยืนอย่างที่คิด คำถามคือ เราจะเลือกดูแลเฉพาะกิ่งใบให้เขียวชอุ่ม หรือหันมาใส่ใจรากฐานที่แท้จริงก่อนสายเกินไป










