ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สัมภาษณ์วาระครบหนึ่งปีครึ่ง พรรคอนาคตใหม่ “ประเทศไทย ไม่สดใส แต่ไม่หมดหวัง”

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สัมภาษณ์วาระครบหนึ่งปีครึ่ง พรรคอนาคตใหม่ “ประเทศไทย ไม่สดใส แต่ไม่หมดหวัง”

INTERVIEW

ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ พบกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในวันที่พรรคครบรอบ 18 เดือนนับจากการก่อตั้ง หลังจากเดินทางผ่านสนามเลือกตั้งใหญ่ คว้าคะแนนเสียงจากประชาชนทั่วประเทศ 6,330,617 คะแนน มี ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร รวม 81 คน จากส.ส.ทั้งหมด 500 คน ขึ้นแท่นพรรคการเมืองอันดับ 3 ที่เต็มไปด้วยพลังงานของคนรุ่นใหม่

การสัมภาษณ์ในวันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 ณ ที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ ตึกไทยซัมมิท จับจังหวะความเคลื่อนไหวต่อไปของหนึ่งในนักการเมืองที่คนจับตามากที่สุดในประเทศ

มีโอกาสได้สร้างสมดุลชีวิต (Work-Life Balance) อย่างไรบ้าง หลังจากทำพรรคการเมือง

ธนาธร: น้อยลงเยอะ ก่อนหน้านี้ที่ทำธุรกิจ ผมว่าผมหาสมดุลได้ดี มีความหลงใหล งานอดิเรก ครอบครัว เพื่อนฝูง เหตุผลหนึ่งเพราะองค์กรที่ผมรับผิดชอบทำมากว่า 20 ปี มีทีมงานทุกอย่างลงตัว ทำให้ไม่ต้องทำงานหนัก ถ้าเทียบกับการทำพรรคการเมืองยังห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบอีกมาก ดังนั้นเราอยากจะสร้างพรรคที่ดี เลยต้องให้เวลาพอสมควร ตอนนี้เลยเหลือแค่งานกับครอบครัว ความหลงใหลและงานอดิเรกไม่มีเลย และจริงๆ อยากมีเวลาให้ครอบครัวมากกว่านี้

ความผิดพลาดของพรรคอนาคตใหม่ที่ผ่านมามีอะไรบ้าง

ธนาธร: เยอะมาก เช่น แคมเปญตอนรณรงค์หาเสียง เราพยายามลงพื้นที่ให้ครอบคลุม แต่ไม่ได้ให้น้ำหนักกับพื้นที่ยุทธศาสตร์มากเพียงพอ หรือการสื่อสารกับประชาชน เรากลัวว่าจะพูดซ้ำ กลายเป็นเราเคลื่อนประเด็นเร็วเกินไปยังไกลพอ จริงๆ ยังมีคนอีกเยอะที่ตามเราไม่ทัน เพราะฉะนั้นอย่ากลัวพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ การพูดเรื่องเดิมซ้ำเป็นการขยายการรับรู้ รวมไปถึงการออกบัตรสมาชิก ก็มีส่งบัตรผิดบ้านบ้าง เขียนชื่อ สะกดผิดบ้างส่งไปให้สมาชิกก็มีบ่นกลับมา ถ้าอยากให้เป็นพรรคที่ดีให้สมาชิกมีส่วนร่วมก็ยังมีอีกเยอะที่ต้องทำให้ดีกว่านี้

ให้คะแนนพรรคอนาคตใหม่ในวันนี้จากวันที่เริ่มก่อตั้งอย่างไร

ธนาธร: จริงๆ จำนวน ส.ส.สำคัญ แต่ส่วนตัวเราไม่ได้คิดว่าจำนวน ส.ส.สำคัญขนาดนั้น เราคิดว่า ถ้าเราปักธงทางความคิดในสังคมได้เมื่อไหร่ ส.ส. และคะแนนเสียงจะมาเอง ทำงานความคิดกับผู้คนให้เขาเห็นความตั้งใจ ให้เห็นว่าวาระที่เรานำเสนอเป็นทางรอดทางเดียวของสังคม ทำอย่างนี้ได้เมื่อไหร่ ได้คะแนนเสียง มีส.ส.เอง อย่าไปคิดว่าทำยังไงจะได้ ส.ส. ถ้าคิดอย่างนั้นจะกลับหัวกลับ ถ้าให้มองตัวเองประสบความสำเร็จเรื่องอะไร คิดว่า เป็นเรื่องการทำงานความคิดกับสังคม วาระต่างๆ ที่ก้าวหน้า ที่ไม่คิดว่าจะเป็นวาระสาธารณะหรือเป็นนโยบายหาเสียงได้มากเท่านี้ เช่น ทุนผูกขาด การปฏิรูปกองทัพ รัฐสวัสดิการ

1 ปีครึ่ง กับการเดินทางมีประสบการณ์อะไรเบาๆ มาเล่าสู่กันฟังบ้าง

ธนาธร: หลายเรื่อง ต้องบอกว่าฉลากขึ้นเยอะ การทำงานการเมืองเปิดโอกาสให้ได้พบผู้คนหลากหลาย ทำให้เข้าใจสังคมที่ดีขึ้น เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามาก

“ส่วนเรื่องตลกๆ เหรอ ขอคิดก่อน ก็มีอย่างเช่นเวลาออกทริปไปทำงานลงพื้นที่คนจะแซวกันว่า อย่าไปกับหัวหน้านะ น้องๆ จะไม่ค่อยอยากไปเพราะไปกับผม 7 งาน 8 ประชุมประมาณนี้ ทำตั้งแต่เช้าถึง 2 ทุ่ม 3 ทุ่ม

น้องๆจะแซวผมว่า ลงพื้นที่กิจกรรมสัก 4-5 กิจกรรมก็พอแล้วไม่ต้องอัดให้เต็ม แต่ถ้าผมออกแบบกิจกรรมผมต้องอัดให้เต็ม ใช้เวลาให้เยอะที่สุด น้องก็จะมาแซวผมว่า เยอะเกินไปเหนื่อย แล้วก็จะเกี่ยงกันไม่ค่อยมีใครอยากลงพื้นที่กับธนาธร”

กิจกรรมที่คนอื่นเขาบอกว่าไม่ต้องทำแต่ธนาธรอยากจะทำ

ธนาธร: พบปะสมาชิก เพราะสมาชิกพรรคตอนนี้มีอยู่ 6 หมื่นคน ไปทุกจังหวัดผมจะให้เวลาเจอกับสมาชิกพรรค มากี่คนเราก็จะเข้าไปคุยไปบอกสมาชิก ว่า เรากำลังพาพรรคเดินไปทางไหน ขอความร่วมมือสมาชิกพรรค เช่นตอนนี้เรื่องรณรงค์รัฐธรรมนูญใหม่ และรับฟังสมาชิกว่า อยากเห็นพรรคไปทางไหน มีอะไรที่เราผิดพลาดบ้าง นี่เป็นกระบวนการสร้างพรรคที่หลายคนบอก ว่า ไม่สำคัญแต่เราว่าสำคัญ เลือกตั้งผมไปมากว่า 20 จังหวัด ผมปิดห้องคุยไม่ว่าจะเป็นร้อยหรือหลักสิบ ผมคิดว่าไม่มีพรรคไหนทำผมก็ลองทำดู เราไม่รู้ว่าพรรคการเมืองที่ดีเป็นอย่างไร ดังนั้นทุกอย่างที่เราทำเป็นการทดลอง เรียนรู้ และปรับปรุงจากความผิดพลาด มันไม่มีสูตรสำเร็จ พรรคแบบเราไป copy จากใครไม่ได้

วาระ 1 ปีกว่าๆ มีหวังหรือหมดหวังกับประเทศไทย

ธนาธร: คำถามนี้ตอบยากจริงๆ คือเรารู้สึกหดหู่ เรารู้เลยว่าผู้มีอำนาจ ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง พวกเขาคือกลุ่มคนที่ไม่อยากเห็นวันพรุ่งนี้ อยากให้วันพรุ่งนี้ทุกวันเป็นเมื่อวาน เพื่อที่เขาจะได้ครองอำนาจอยู่ได้ตลอดไป เราเห็นตั้งแต่กระบวนการตัดสินใจของกกต. การใช้กระบวนการยุติธรรมต่างๆ ที่เรารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง การดำรงอยู่ของ ส.ว. ใช้ทั้งอำนาจเงินและอิทธิพลต่างๆ มาข่มขู่คุกคามประชาชน พวกเขายอมทำทุกทางที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปโดยไม่เห็นหัวประชาชน

ดังนั้นถ้ามองอนาคตของประเทศไทย ผมยังเชื่อว่าไม่สดใส ทั้งทางเศรษฐกิจก็ไปไม่ได้ อย่าลืมปัญหาเศรษฐกิจคุณไม่ได้ขึ้นมาเป็นนะ นี่คือผลงานของคุณเอง 5 ปีที่แล้ว ตอนที่คสช.ขึ้นมา โลกไม่ได้มีวิกฤตเศรษฐกิจ อเมริกาไม่ได้มีสงครามการค้ากับจีน ไต้หวันไม่ได้มีสงครามการค้ากับญี่ปุ่น ฮ่องกงไม่ได้ทะเลาะกับจีน 5 ปีที่แล้วเศรษฐกิจดีคุณยังพาประเทศไทยมาได้แค่นี้เอง

“ถ้าเปรียบเป็นเรือในขณะที่มีลมส่ง คุณยังพาประเทศไทยไปไกลกว่านี้ไม่ได้เลย วันนี้ลมต้านด้วย คุณจะพาประเทศไทยไปได้ยังไง นึกไม่ออกเลยนี่คือในด้านเศรษฐกิจ”

ในด้านการเมืองเราเห็นแล้วว่าพวกเขาไม่ยอมปล่อยอำนาจ เขาเขียนรัฐธรรมนูญไว้อย่างแน่นหนาเกินกว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแก้ได้ในสภาอย่างเดียว นี่คือความขัดแย้งที่จะค่อยๆ ก่อตัวขึ้น จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นระเบิดเวลา ความขัดแย้งที่จะปะทุขึ้นอาจนำมาซึ่งความสูญเสีย จะทำให้ประเทศไทยขาดโอกาสพัฒนา ช่องว่างความเหลื่อมล้ำยิ่งถ่างขึ้นไปอีกในอนาคต ภาษีประชาชนถูกใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ แพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลออกมามองไม่เห็นเลยว่าจะทำให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวได้อย่างไร

“แต่ถามว่าหมดหวังไหม ยังไม่หมดหวัง ยังพร้อมจะเดินต่อไป เชื่อว่าจะมีแต่พรรคการเมืองที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องมือของประชาชนในการต่อสู้กับสืบทอดอำนาจได้”

พรรคอนาคตใหม่มีกลุ่มคนที่ชื่นชอบในโซเชียลมากบางครั้งจะออกมาปกป้องอาจดูเหมือนแตะต้องไม่ได้มองเรื่องนี้อย่างไร

ธนาธร: ผมคงไม่สามารถไปควบคุมคนที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ได้ ต่อให้อยากทำก็ทำไม่ได้ ในระยะยาวให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจนเราดีกว่า สำหรับคนที่ชื่นชมพรรคอนาคตใหม่แล้วออกมาปกป้อง ผมขอบคุณจริงๆ และผมไม่ห้ามที่ท่านจะปกป้องพรรคอนาคตใหม่ แต่ขอว่าไม่ทำด้วยการไม่ใช้คำหยาบคาย ไม่ใช้วาจาที่ทำให้คนเกลียดชังกันไปมากกว่านี้

ส่วนคนที่วิพากษ์วิจารณ์พรรคอนาคตใหม่ ผมยินดีและรับฟัง หลายเรื่องที่เราได้ปรับตัวมาจากคอมเมนต์ออนไลน์ แต่ก็ขออย่าวิพากษ์วิจารณ์ด้วยอคติ เพราะเห็นเยอะมาก หลายอย่างเกิดจากข้อมูลที่ไม่เป็นจริง หรือการสื่อสารที่เรายังสื่อสารไม่ดีพอ

สังคมมันเกลียดชังกันมากพอแล้วครับ ถึงวันนี้ต้องบอกว่าตราบใดที่ประชาชนยังเป็นศัตรูกับประชาชน เราจะลืมศัตรูที่แท้จริงไป ศัตรูที่แท้จริงไม่ใช่ประชาชนกลุ่มหนึ่ง กับประชาชนกลุ่มหนึ่ง ศัตรูที่แท้จริงคือกลุ่มคนที่ยึดอำนาจไปจากประชาชนทั้งหมด นี่คือความขัดแย้งที่แท้จริงอย่ามองความขัดแย้งผิดไป

คิดว่าประเทศไทยทำพรรคการเมืองด้วยอุดมคติได้จริงหรือไม่

ธนาธร: เชื่อว่าทำได้ แต่ต้องคิดว่าสร้างพรรค 1 ปีกว่าๆ โดยไม่มีผู้นำได้ไหม “ไม่มีทาง” ถ้าจะตัดสินว่า พรรคอนาคตใหม่ยืนอยู่ด้วยธนาธรคนเดียว ผมว่าให้เวลาเราน้อยไปนิดนึง ขอเวลาอีกนิดนึง ถ้า 5 ปีจากนี้พรรคอนาคตใหม่ยังขึ้นอยู่กับผมคนเดียว แปลว่าเราสร้างสถาบันการเมืองไม่ได้แล้ว แต่นี่ปีครึ่ง อยู่ในทุกลมหายใจที่จะสร้างพรรคนี้เป็นสถาบันที่ยืนยาวกว่าธนาธร แข็งแกร่งกว่าปิยบุตร ถ้า 5 ปีทุกอย่างยังขึ้นอยู่กับผม พรรคยังไม่สามารถสร้างผู้นำรุ่นใหม่ขึ้นมาได้ ผมคิดว่า ผมผิดในฐานะหัวหน้าพรรค

เราเกิดเติบโตขึ้นมาในช่วงที่สังคมมีความขัดแย้งเยอะ มีการเลือกตั้ง ต้องทำนโยบายที่ยังไม่ครอบคลุมในการพัฒนาประเทศทุกด้าน ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน เราเลยต้องเร่งเกียร์ในช่วงแรก ถ้ามองยาวๆ ค่อยๆ ทำผมว่าทำได้ แต่มันต้องทำให้จริงจัง ทำเล่นๆไม่ได้ ถ้าผมยังทำธุรกิจอยู่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ การทำพรรคการเมือง คือ full time job งานเต็มเวลา ทำเล่นๆ ไม่ได้ และก็อยากเห็นการทำพรรคแบบนี้อีกหลายๆ พรรค ข้อดีคือเราเป็นอิสระจากอิทธิพลของกลุ่มทุน วันที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ เราจะตัดสินตามอุดมการณ์ ลองทำกันดู ขอเวลาอีกสักหน่อย ถ้าอีก 3 ปี 5 ปี ถ้าไปกันไม่ไหว สังคมไทยก็น่าจะหมดหวังว่าพรรคที่เป็นอุดมการณ์เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ผมยังเชื่อว่า ยังพอไปได้ลองทำกันดูครับ

แคมเปญรณรงค์ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ใช้ “สีส้ม” ที่เป็นสีของพรรคอนาคตใหม่เลย

ธนาธร: เราไม่อยากเป็นเจ้าของ เรื่องการรณรงค์เพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะเราเล็กเกินไปที่จะนำไปสู่จุดนั้นได้ เราต้องการการมีส่วนร่วม ตื่นตัว ของประชาชนในสังคมอีกเยอะหลายเท่า ถ้าใส่สีปุ๊บผิดเลย วาระนี้เป็นวาระทั้งสังคม เชื่อว่าประเทศไทยไปไกลกว่านี้ไม่ได้ถ้ากฎหมายสูงสุดไม่เป็นธรรม ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมาคุยกันว่า ประเทศไทยแบบไหนที่เราอยากอยู่ร่วมกัน การรณรงค์ครั้งนี้ต้องไม่มีเจ้าของ ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ธงเดียวกันก็ได้ ไม่ต้องแย่งชิงการนำกัน หลากหลายรูปแบบ

ตัวตนของธนาธร ตอนนี้มีความสุขขนาดไหนถ้าให้คะแนนเต็ม 10

ธนาธร: ผมค่อนข้างมองให้แง่บวก เรามีกิจกรรมที่ทำให้พรรคพัฒนาทุกวัน เช่น การประชันวิสัยทัศน์ของผู้ที่จะลงสมัคร นายก อบจ.นนทบุรี ของพรรค ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ก็มีคนดูไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กพันกว่าคน มีสมาชิกพรรคร่วมโหวต 23 เปอร์เซ็นต์ ผมคิดว่ามันไม่เลวเลย (Not bad)

สำหรับความสุขเต็ม 10 ผมว่า สัก 7.5 คือในการทำพรรคปัญหามีแค่ 2 อย่าง คือ เรื่องเวลา รู้สึกว่ามีเวลาไม่พอ เวลาคือสิ่งมีค่าที่ไม่อาจซื้อได้ มีไม่พอจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาให้กับครอบครัว เวลาจะอ่านหนังสือลับมีดให้สมองตัวเอง เวลาในการทำพรรค พบประชาชน และการเมืองภาพใหญ่ ดูข่าวทุกวัน รู้สึกฝ่ายที่สืบทอดอำนาจของเผด็จการพยายามกุมประเทศไทยให้แน่นขึ้น กระชับพื้นที่ให้แน่นขึ้น จนการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้นได้ยากมาก ดังนั้นยังไม่ 10 ให้ 7.5 ก็พอ แต่ใช่ครับก็ไม่แย่

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่รอลุ้นคะแนนนอกห้องประชุม

เรื่องไม่ได้เข้าสภาฯ อยากเข้ามากแค่ไหน

ธนาธร: เสียดาย มีหลายเรื่องที่ผมอยากอภิปราย เช่น คุณสมคิด (จาตุศรีพิทักษ์) มาอภิปรายในวันแถลงนโยบายของรัฐบาล มีหลายจุดที่ผมไม่เห็นด้วยกับคุณสมคิด และผมคิดว่า ความคิดแบบคุณสมคิดเป็นความคิดที่เก่า เป็นวิธีคิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ใช้มา 50 ปีแล้ว เสียดายพอไม่ได้อยู่ในสภาฯก็ไม่มีพื้นที่ เช่น การต่อสัญญาทางด่วนของบริษัท BEM ผมอยากอภิปรายเรื่องนี้มาก การต่อสัญญาโดยไม่มีการเปิดประมูลเป็นความเสียหายของประชาชน เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน แต่ในแง่กลับกันทำให้เราได้เวลากลับมา 2 วัน วันพุธกับวันพฤหัสที่มีประชุมสภาฯ ที่จะเอาไปทำกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ

อยากไปที่ไหนที่สุดในโลกตอนนี้ใช่สภาฯ หรือเปล่า

ธนาธร: ไม่ใช่สภาฯ อยากพาคุณแม่และครอบครัวไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ที่เงียบๆ และใช้เวลาอยู่ด้วยกัน คงยังทำไม่ได้ในช่วงใกล้ๆ นี้ อาจเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่อาจจะได้พาคุณแม่และครอบครัวไปเที่ยว

ธนาธรกับมารดา สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ขอบคุณภาพจากพรรคอนาคตใหม่

ปีนี้ 2562 ถ้ามีคนบอกว่าในปี 2572 คืออีก 10 ปีข้างหน้าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีเชื่อไหม

ธนาธร: เชื่อหรือไม่ คือเราไม่ได้คิดเลยนะเวลาทำงาน ผมยังยืนยันคำที่ผมพูดมาตลอด เรารู้สึกว่า นายกรัฐมนตรีเป็นแค่ทางผ่านไปสู่ความฝันของเรา นั่นคือ เปลี่ยนแปลงประเทศไทย ผมไม่คิดว่าประเทศไทยเป็นอย่างนี้ต่อไปได้ ถ้าไม่ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปกองทัพ ปฏิวัติการศึกษา สิ่งต่างๆนี้ต้องเข้าไปแก้ไขเพื่อเปลี่ยนแปลง จุดสิ้นสุดของการเดินทางคือการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีกว่านี้ ให้เป็นประชาธิปไตย มีนิติรัฐ ให้เท่าเทียมเป็นธรรม และเครื่องมือที่นำไปสู่ตรงนั้นได้คือต้องเป็นรัฐบาล ผมต้องเป็นนายกรัฐมนตรี

ดังนั้นมองกรอบไหม ไม่ได้มองกรอบว่า จะเป็นการเลือกตั้งครั้งหน้าอีก 2 ครั้งหรือไม่ แต่เรามองว่าเริ่มจากภายในค่อยๆ ทำ ค่อยๆ สร้าง ตั้งแต่สร้างพรรคมาไม่เคยบอกว่า การเดินทางจะจบด้วยการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวไม่ให้สัญญาแบบผิดๆ ผมบอกตลอด “นี่สู้กันยาว” รัฐธรรมนูญใหม่ถ้าได้มาใน 5 ปีนี้ก็เก่งแล้ว อย่าโกหกประชาชน ทำของเราให้ดีที่สุด ยกระดับให้ดีมีที่ยืน ปักหลักลงฐานให้ได้ ชนะเลือกตั้งเอง

ที่ผ่านมาตระกูลชินวัตรเคยเป็นตระกูลที่ร่ำรวยในระดับต้นๆ ของประเทศ แต่ตอนนี้หลุดไปแล้วอาจด้วยเหตุผลที่เลือกฝ่ายการเมืองคนละฝ่าย “จึงรุ่งเรืองกิจ” มีการคุยเรื่องนี้กับคนในครอบครัวเรื่องธุรกิจหรือไม่

ธนาธร: ต่างกันเยอะนะครับ ธุรกิจของคุณทักษิณมาจากการทำธุรกิจกับรัฐ ของผมไม่มีการทำกิจการกับรัฐ คู่แข่งเราเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์คือต่างชาติ กิจการเรามีฐานการผลิตใน 7 ประเทศ ลูกค้าของเราคือบริษัทต่างชาติ จึงไม่พึ่งพิงกับอำนาจรัฐ ถ้าจะทำเขาต้องบินไปอเมริกาแล้วบอกบริษัทในอเมริกาว่าห้ามซื้อของผม ผมไม่คิดว่ารัฐบาลจะกล้าทำ รูปแบบการสะสมทุนของเรามาจากการแข่งขัน นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ บอกว่าในสายตาของเขา อาจารย์ปิยบุตร คือนักกฎหมายมหาชนหมายเลขหนึ่งของประเทศ ในรุ่นเดียวกัน

พูดถึง อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคที่ดูสนิทกันมาก ตอนเรียนที่ ม.ธรรมศาสตร์รู้จักกันหรือไม่

ธนาธร: ผมเป็นเก เฮฮาปาร์ตี้ เป็นคนที่เรียกได้ว่าเพื่อนพึ่งพาได้ มีชื่อเสียงสมัยเรียนในทางไม่ค่อยดี (เรียกว่าป๊อบได้ไหม) ได้ๆ ส่วนผมเจอ อ.ปิยบุตร ตอนที่ อ.ปิยบุตรร่วมกับอาจารย์ในคณะนิติศาสตร์ ตั้งกลุ่มนิติราษฎร์ ผมเป็นคนหนึ่งที่ดูการเติบโตอย่างใกล้ชิด และเคยไปฟัง อ.ปิยบุตรขึ้นพูด แต่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เรารู้สึกว่า คนนี้เก่ง น่าเคารพในจุดยืน มีความรู้มีอุดมการณ์ที่ถูกต้อง จำไม่ได้ว่ารู้จักส่วนตัวเมื่อไหร่ แต่หลังจากนั้นพอสมควร เรารู้จักกันประมาณ 6-7 ปี ไม่ใช่ตั้งแต่สมัยเรียน รู้จักกันเพราะความหลงใหลทางการเมือง อุดมการณ์ที่ใกล้กันพาให้เรามารู้จักกันเองด้วยกฎของธรรมชาติ

“ผมว่า ถ้านักกฎหมายมหาชนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ต้องสงสัย ปิยบุตร แสงกนกกุล คือมือหนึ่งในประเทศนี้ในรุ่นราวคราวเดียวกัน หาตัวจับได้ยากมาก ดังนั้นผมมีแต่ความทึ้งในความรู้ของ อ.ปิยบุตร เพราะฉะนั้นถ้าดูจริงๆ แล้วคนที่เหมาะกับเรื่องในสภาฯ ไม่ใช่ผมนะครับ โชคดีที่เขาตัดสิทธิ์ผม ไม่ตัดสิทธิ์ อ.ปิยบุตรนี่เหนื่อยเลย ดังนั้นผมว่าเขาเหมาะสมมาก แต่พูดอย่างนี้ต่อให้เราสนิทกัน พออยู่ในที่ประชุมเราก็เถียงกันเยอะ เพราะการทำงานพรรคแน่นอนที่สุดไม่ได้เห็นตรงกันทุกเรื่องมันเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นการทำงานที่ค่อนข้างสอดรับกัน พอสนิทกันมากไม่ต้องเกรงใจกันเยอะ และมีความกลมกลืนด้วย อ.ปิยบุตรจะไม่รู้เรื่องด้านธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ แต่จะรู้เรื่องด้านกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม มันคลิกกัน คิดว่า พรรคอนาคตใหม่โชคดีมากที่มี ปิยบุตร แสงกนกกุลเป็นเลขาธิการพรรค”

เห็น อ.ปิยบุตรบอกว่าเคยคุยกันเรื่องที่วันหนึ่งอาจต้องติดคุกไหม เคยคิดไหมว่าอาจจะต้องมีจุดนั้นแล้วบอกกับครอบครัวอย่างไร

ธนาธร: คิดอยู่แล้ว ตั้งแต่วันแรก ก่อนตั้งพรรคว่าสุดท้ายมีโอกาสเกิดขึ้น คือผมมีทรัพย์เป็นพันล้านแจ้งกกต.ไปแล้วตรวจสอบได้ ดังนั้นต่อให้ผมติดคุก ลูกผมอีก 4 คนก็ยังเติบโตอย่างมีคุณภาพมากกว่าคนอื่นเป็นล้านคนถึงแม้เขาจะไม่มีพ่อ ถ้าผมติดคุกลูกคนโตที่วันนี้อายุ 10 ขวบ เขาจะไม่ได้คนคอยปรึกษา ลูกคนที่สองผมมีศักยภาพมากแก่นแก้วแต่ฉลาดหัวไววันนี้อายุ 8 ปี ถ้าผมติดคุกคงไม่ได้ดึงศักยภาพเขาออกมามากกว่านี้ คนที่ 3 ยังเด็กอยู่ผมคงไม่ได้สอนเขาเตะฟุตบอล คนที่ 4 เพิ่ง 9 เดือน ผมจะไม่ได้สอนเขาขี่จักรยาน แต่ถามว่าคุ้มไหม ผมว่ามันคุ้มมหาศาลกับเส้นทางที่เราเลือก

ถ้าคนที่มีต้นทุนทางสังคมอย่างผมไม่ทำ ไม่ยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง แล้วใครจะยืนยัน ถ้าคิดว่าสิ่งที่เราทำเป็นการทำลายล้างสังคม ทำให้ประเทศแตกแยก เอาผมติดคุกเลย แต่ถ้าคุณมีความฝันเหมือนกับผมอยากให้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตย ทุกคนเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย ลดความเหลื่อมล้ำ คนมีแบ่งคนจนบ้าง ถ้าอยากให้สังคมไทยไม่มีรัฐประหารคุณกับผมฝันเหมือนกัน ง่ายๆไม่มีอะไรยาก ลงทุนด้วยต้นทุนทางสังคมที่คุณมี ประกาศจุดยืน ถ้าคุณไม่ทำ คุณก็ทิ้งภาระให้ลูกหลานคุณทำ และที่เราต้องเดินมาถึงตรงนี้เพราะคนที่มีต้นทุนขี้ขลาดไม่กล้าแสดงจุดยืนทางการเมืองที่ถูกต้อง ผมไม่เป็นคนอยากนั้น

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกมองว่าครองใจคนรุ่นใหม่ แต่ยังเจาะฐานเสียงผู้สูงอายุได้ไม่มากเท่า

สุดท้ายที่ถ้าอยากให้พูดกับคนอายุ 35 ปี 50 ปี หรือ 60 ปีขึ้นไปที่จะไม่ใช่คนที่เลือกพรรคอนาคตใหม่อยากพูดอะไร

ธนาธร: อยากให้ดูเราอย่างปราศจากอคติ ดูสิ่งที่เราทำให้โอกาสเรา เวลาจะพิสูจน์เองว่าพรรคของเราไม่ตั้งขึ้นมาเพื่อคอร์รัปชั่น ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อเอาภาษีประชาชนมาทำให้ธนาธรรวยขึ้น เวลาจะพิสูจน์ว่าพรรคของเราไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อเอาประโยชน์ให้กับนักการเมือง เวลาจะพิสูจน์ความตั้งใจของเราว่า เราอยากจะเปลี่ยนแปลงทำให้สังคมก้าวหน้า ดังนั้นถ้าบอกอะไรกับทุกคนได้ เปิดใจดูเราหน่อย เปิดใจฟังเราหน่อย ดูสิ่งที่เราทำฟังสิ่งที่เราพูดว่า สิ่งที่เราพูดกับสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องเดียวกันรึเปล่า

ยกตัวอย่าง กลางเดือนกันยายนก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ เราจะผลักดันกฎหมาย 3 ฉบับเข้าสภาฯ คือ 1. กฎหมายล้มล้างคำสั่งประกาศคสช. 2. กฎหมายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร 3. พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิแรงงาน ทั้ง 3 เป็นเรื่องที่เราหาเสียงไว้ นี่คือเหตุผลที่เราตั้งพรรคการเมือง ส่วนจะผ่านออกมาเป็นกฎหมายได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถล็อบบี้ฝ่ายรัฐบาลเห็นด้วยกับเรามากแค่ไหน ทำให้ประชาชนออกมาช่วยกันรณรงค์สร้างกระแสให้สภาฯ รับกฎหมาย 3 ฉบับนี้ได้มากน้อย แค่นี้ขึ้นอยู่กับการทำงานหนักของเรา นี่คือการทำสิ่งที่พูดให้เป็นจริงให้ประชาชนเห็นว่า เราทำในสิ่งที่เราพูดจริงๆ เปิดใจดูเราหน่อย

ความตั้งใจทุ่มเทจะสร้างพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันการเมืองในอุดมคติจะสำเร็จมากน้อยเพียงใด “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ต้องทำงานหนักต่อไป พร้อมกับการชี้แจงเรื่องราวที่เป็นคดี จนทำให้สถานะการเป็น ส.ส.ของเขาถูกแช่แข็ง เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า เขาจะเป็นตัวจริงที่พูดจริงทำจริงหรือไม่

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง