ทิม พิธา : สภาที่เต็มไปด้วยแรงเฉื่อย
ถ้าจะมองโลกแบบไร้ซึ่งการตัดสิน ไร้ซึ่งอารมณ์ทางจิตใจ อาชีพนักการเมืองก็คงไม่แตกต่างไปจากอาชีพฟรีแลนซ์ อาชีพโปรดิวเซอร์ อาชีพนักแสดง ที่ล้วนต้องทำหน้าที่ของตน เพื่อแสวงหาประโยชน์ของตน ประโยชน์ที่ถูกนิยามว่า “เงิน”
แต่การเป็นนักการเมือง มันต้องมาพร้อมกับอุดมการณ์ และภาระที่มากกว่าความคิดที่ว่า “คุณจะหมุนใช้เงินในแต่ละวันให้เพียงพอถึงสิ้นเดือนได้ยังไง”
แต่มันยังหมายถึงการหมุนเงินของเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง และทุกคนในประเทศ การก้าวมาสู่อาชีพนักการเมือง จึงไม่ใช่อะไรที่ตัดสินใจง่ายนัก โดยเฉพาะเมื่อคุณแยกประโยชน์ ‘ตัวเอง’ กับ ‘คนอื่น’ ไม่ออก
จากธนาธร–สู่ทิมพิธา
ทิม–พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นอีกหนึ่งคนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักการเมืองตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าในวัยนั้นเขาจะมีภาพนักการเมืองในอุดมคติสวยหรูเพียงใด
แต่ระหว่างทางที่เติบโต ความฝันนั้นยังคงไม่จางหายไป และในวันธรรมดาวันหนึ่งที่เขาได้พบกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (บุคคลที่นามสกุลมักถูกอ่านผิดอยู่เสมอ) ก็ดูเหมือนเส้นทางนักการเมืองของพิธา จะชัดเจนขึ้นอีกขั้น
พิธาเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเขามีโอกาสได้คุยกับธนาธรในหลายๆ เรื่อง ก่อนจะตระหนักได้ว่าคนที่เขายืนคุยอยู่คือมนุษย์ 1% ที่ร่ำรวยและมีโอกาสเหนือใครๆ ในประเทศที่เต็มไปด้วยคนยากจนและชนชั้นกลาง
แต่บทสนทนาในวันนั้นกลับทำให้พิธาตัดสินใจได้ว่า ถ้าเขาจะต้องทำงานการเมือง ธนาธรจะเป็นตัวเลือกแรกสุดที่เขาจะยื่นใบสมัครงานไปหา
พิธาเล่าบทสนทนาสั้นๆ ในวันนั้นให้เราฟังว่า “เขาถามผมว่า คุณเชื่อเรื่องการกระจายอำนาจบริหารไหม เชื่อว่าเราจะยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้ไหม แยกระบบทหารออกจากการเมือง เหมือนประเทศอื่นๆ ที่คุณเคยไป ผมตอบว่า ครับ ผมเชื่อ”
“แล้วเรื่องการผูกขาดตลาดล่ะ ผมก็แชร์ความคิดเห็นของผมให้คุณธนาธรฟังประมาณ 20 นาทีได้ครับ เสร็จก็วางสาย คุณธนาธรก็ไม่ได้โทรกลับมาเลยนะ แต่เขาไปประกาศกับสื่อมวลชนว่าผมจะอยู่ลำดับที่ 4 บนบัญชีรายชื่อ”
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นก่อนพิธาจะเข้ามานั่งในสภา ในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่สภาสำหรับพิธาในเวลานั้นกลับไม่เหมือนอย่างภาพที่เฝ้าฝัน
“กล่องแพนโดร่า” คือสิ่งที่พิธา ใช้อธิบายถึงความรู้สึกตอนที่ทำงานในสภาช่วงแรก เพราะทุกอย่างแทบคาดเดาอะไรไม่ได้เลย โดยเฉพาะตอนหลัง ที่พรรคอนาคตใหม่ต้องสลายตัวไป และก่อเกิดอีกครั้งภายใต้ชื่อ ก้าวไกล
ภายใต้การส่งไม้ต่อจาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สู่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่บัดนี้ไม่ใช่แค่ ส.ส.ลำดับที่ 4 แต่เป็นหัวหน้าพรรค ที่ต้องผลักดันนโยบาย และพาก้าวไกลภายใต้ชื่อใหม่ไปถึงฝั่งฝัน
สภา–กล่องแพนโดร่าที่แรงโน้มถ่วงต่ำเป็นพิเศษ
พิธาอธิบายความเป็นสภาด้วยประโยคที่ว่า “ได้รู้ว่ามันมีความเฉื่อยชา มีแรงต้านต่อการเปลี่ยนแปลง” เขามองเห็นระบบที่ถูกออกแบบให้เคลื่อนที่ช้าเป็นพิเศษเหมือนแรงโน้มถ่วงบนดาวพลูโต (เมื่อเทียบกับโลก) ก็เพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม [เปรียบเทียบโดยผู้เขียน]
พิธาเชื่อเสมอว่าการเมืองมันอยู่ในเลือดเนื้อ DNA และประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดชีวิต และมันไม่ควรมีอะไรที่ควบคุมไม่ได้ ในเมื่อคุณเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี แต่ในสภากลับไม่เป็นเช่นนั้น กฎหมายบางข้อที่ควรได้รับชัยชนะ กลับพ่ายแพ้อย่างน่าใจหาย แต่กับกฎหมายบางข้อก็ผ่านไปโดยไร้ข้อกังขา
‘ความคาดเดาได้ แต่เปลี่ยนแปลงไม่ได้’ มันทำให้สภาทั้งมีเสน่ห์ มีข้อกังขา และความน่าตื่นเต้น
ขณะที่พิธาให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนี้ ที่มุมปากของเขาไม่เคยขาดรอยยิ้ม จนพิธีกรอดเอ่ยถามไม่ได้ว่าคุณเครียดกับมันไหม
“แล้วผมมีทางเลือกอะไรล่ะ พวกเราไม่มีตัวเลือก” คือคำตอบของเขา แม้จะทำงานในสภาดาวพลูโตที่เต็มไปด้วยแรงเฉื่อย แต่พิธาเชื่อว่า หากเขารักษาความมุ่งมั่นในการผลักดันบางสิ่งที่ถูกต้องเอาไว้ได้ ต่อให้ความเฉื่อยจะทำงานหนักเพียงใด ก็ไม่อาจต้านกฎธรรมชาติที่ทุกอย่างต้องผันแปร
“ตัวเลือกเดียวที่มีคือพยายามทำให้เต็มที่ และมั่นใจว่าจะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริงๆ”
“แต่สิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของคุณ ไม่ช้าก็เร็วก็จะเกิดขึ้นอยู่ดี เพราะคุณคิดว่าคุณอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง”
“กราฟมันไม่เป็นเส้นตรงหรอกครับ อาจจะเป็นพาราโบลาด้วยซ้ำ เป็นเส้นซิกแซกแน่ๆ การเปลี่ยนแปลงไม่อาจเกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ดูสิครับว่าเรามาได้ไกลแค่ไหนในด้านต่างๆ”
ปิดสวิตช์ 3 ป. — ทำให้ไทยมีกระดูกสันหลัง
ย้อนกลับไปบทสนทนาครั้งแรกที่พิธาคุยกับธนาธร “กระจายอำนาจ-ยกเลิกผูกขาด-ลดอำนาจกองทัพ” บทสนทนาในวันนั้นยังคงถูกดำเนินมาจนถึงวันนี้ด้วยนโยบายที่ออกสู่สายตาประชาชน อย่างเช่น “ปิดสวิตช์ 3 ป.” พิธาเล่าด้วยสายตาจริงจังว่าเป้าหมายในช่วง 100 วันแรกหลังตั้งรัฐบาลใหม่ของเขาคือการทำประชามติ เพื่อเอาอำนาจคืนสู่มือประชาชน
และพรรคก้าวไกลจะไม่ยอมจับมือกับรัฐบาลฝ่ายตรงข้าม เพียงเพื่ออำนาจชั่วครู่ชั่วคราว “ผมอายุ 42 ผมรอได้ มีเวลาเหลือเฟือ”
พิธายืนยันชัดเจนว่าเขาให้ความสำคัญกับ “อุดมการณ์” และ “กระดูกสันหลัง” แม้การเปลี่ยนแปลงที่หวังจะเห็นจะไม่เกิดในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ครั้งต่อไปใครจะรู้ หรืออาจจะครั้งต่อไป ต่อไป และต่อไป…
เขาเชื่อเต็มอกว่าเวลาเท่านั้นที่จะทำให้ประชาชนมองเห็นความจริงชัดเจนขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้น พิธาหรือก้าวไกลจะไม่ใช่คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นกลุ่มที่พยายามเปลี่ยนความคิดคนอื่น เพราะความเปลี่ยนแปลงมันจะเกิดขึ้นเองตามระยะเวลา
ย้อนกลับไปที่คำว่า “กระดูกสันหลัง” พิธายังพูดถึงอุดมการณ์ ไม่ว่าจะความเป็นตัวตน ในบริบทสังคมภายใน หรือในบริบทโลก
เขามองว่ามนุษย์เราควรมีอุดมการณ์ที่ชัดเจนของเรา โดยเฉพาะในฐานะผู้นำ ในเวทีโลก “ถ้าคุณไม่พูด คุณก็ไม่มีตัวตน คุณไม่สามารถทำตัวไร้กระดูกสันหลังในสถานการณ์เหล่านี้ คุณต้องยึดถือค่านิยมที่ถูกต้องและกล้าที่จะพูด”
พิธามองว่าในเวทีโลก ไทยมีบทบาทได้ดีมากกว่านี้ ไม่ควรทำตัวเป็นไผ่ลู่ลม เพราะเมื่อทำเช่นนั้น บทบาทของไทยจะยิ่งจืดจางและไร้ความน่าเชื่อถือ แต่ควรสร้างความเห็นที่มีประโยชน์ และสร้างเสียงโหวตที่เปลี่ยนแปลงได้จริง
ทิม พิธา – สัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ FULL VERSION
– https://youtu.be/J9_3coBdp94
ทิม – พิธา สัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ “Moving Forward with Political Spine”
– https://youtu.be/rWIsb3KWRn0










