Tourism war ประเทศเอเชียสู้เดือด แข่งกันแย่งนักท่องเที่ยว

Tourism war ประเทศเอเชียสู้เดือด แข่งกันแย่งนักท่องเที่ยว

เศรษฐกิจ

ภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย นับกันตั้งแต่ 1 ม.ค. – 16 พ.ย. 68 มีจำนวนทั้งสิ้น 28,277,276 คน รายได้ที่เกิดจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท (1,308,132 ล้านบาท)

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ
มาเลเซีย 4,058,169 คน
จีน 3,946,225 คน
อินเดีย 2,110,469 คน
รัสเซีย 1,527,800 คน
เกาหลีใต้ 1,339,604 คน

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ในช่วงปี 2567-2568 ถือเป็นช่วงเวลาท้าทายของการท่องเที่ยวไทย จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ค่อนข้างช้ากว่าอีกหลายประเทศในเอเชีย และยังต้องเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งประเด็นความกังวลด้านความปลอดภัย เศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว และการแข่งขันในระดับภูมิภาคที่เร่งดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ ซึ่งนำไปสู่สงครามการท่องเที่ยว “Tourism war” ที่เข้มข้น

Tourism war คือ สมรภูมิการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว ที่หลายประเทศเร่งใช้นโยบาย และมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้เข้าประเทศ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวและเผชิญความไม่แน่นอนสูง

“จากภายใต้ข้อจำกัดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว และเผชิญความไม่แน่นอนสูง ทำให้หลายประเทศในเอเชียต้องปรับยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยหันมาให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยวมากขึ้น จึงส่งผลให้เกิดการแข่งขันเชิงนโยบายที่เข้มข้น และครอบคลุมในหลายมิติ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ” บทวิเคราะห์ ระบุ

สมรภูมิ “Tourism war” หรือสงครามการท่องเที่ยวในเอเชีย มีประเทศคู่แข่งด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญอย่าง ไทย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, เวียดนาม และสิงคโปร์ รวมถึงจีน ที่กำลังเป็นอีกหนึ่งประเทศคู่แข่งสำคัญ

โดยแต่ละประเทศตั้งเป้าหมายการเติบโตด้านการท่องเที่ยวไว้ค่อนข้างสูงมากกว่า 10%YoY แสดงให้เห็นถึงการวางยุทธศาสตร์เชิงรุกที่มุ่งผลักดันการท่องเที่ยวให้เป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจะนำไปสู่ Tourism war ที่เข้มข้นยิ่งขึ้นในระยะข้างหน้า

สมรภูมิ Tourism war ได้เปลี่ยนเกมแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในเอเชีย และเพิ่มแรงกดดันต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ทั้งในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังหดตัว สวนทางกับหลายประเทศที่ขยายตัวแข็งแกร่ง การเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวเป้าหมายทำได้ยากขึ้น จากที่ตลาดมีความทับซ้อนสูงในหลายประเทศ และการเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่ยังจำกัด

โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.68) หลายประเทศสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดี จากอัตราขยายตัวที่มากกว่า 10%YoY โดยเฉพาะจีน กับเวียดนาม ซึ่งยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินด้วย

ขณะที่ไทย ยังเผชิญแรงกดดันจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน ที่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกังวลด้านความปลอดภัย อีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข่งขันเชิงรุกจากหลายประเทศ ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นตลาดเป้าหมายหลักให้เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศของตน

ยิ่งไปกว่านั้น การเจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย มีแนวโน้มทำได้ยากขึ้น เนื่องจากแต่ละประเทศมีการทับซ้อนของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ค่อนข้างสูง โดยมีนักท่องเที่ยวจากเพียง 18 ประเทศเท่านั้น ที่กระจุกตัวอยู่ใน 10 อันดับแรก ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวในทั้ง 6 ประเทศในสมรภูมิ Tourism war โดยเฉพาะเวียดนาม และสิงคโปร์ ที่มีตลาดหลักที่ทับซ้อนกับไทยในระดับสูง

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ไทยยังเผชิญกับความท้าทายในการกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปในปี 2567 ที่ลดลง สวนทางกับประเทศอื่นที่ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2562 ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันในไทย ก็ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งยิ่งสะท้อนความจำเป็นในการเร่งยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มศักยภาพการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

SCB EIC ชี้ว่า สถานการณ์ Tourism war มีแนวโน้มยิ่งเข้มข้นขึ้น โดยแต่ละประเทศ ได้ใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีความหลากหลาย และซับซ้อนมากขึ้น โดยกลยุทธ์สำคัญที่หลายประเทศนำมาใช้ ได้แก่

1. การเร่งออกมาตรการพิเศษด้านวีซ่า ในการเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย โดยในปีนี้ หลายประเทศต่างทยอยออกมาตรการวีซ่าเพิ่มเติมเพื่อขยายตลาดนักท่องเที่ยวทั้งการยกเว้นวีซ่า และการออกวีซ่าประเภทพิเศษ

2. การสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว (Brand image) ที่เน้นการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากขึ้น เพื่อดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

3. การใช้คอนเทนต์บนสื่อออนไลน์ และพลังของอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อสร้างกระแสโพรโมตการท่องเที่ยวให้เข้าถึงคนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว และยังต่อยอดเสริมภาพลักษณ์ประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. การร่วมกับภาคธุรกิจท่องเที่ยวในการออกแคมเปญโปรโมชั่น ซึ่งครอบคลุมทั้งตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก และกิจกรรมท่องเที่ยว เพื่อสร้างแรงจูงใจ และเร่งการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยว

5. การยกระดับแหล่งท่องเที่ยวเดิมให้มีความแปลกใหม่ ควบคู่กับการสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made destinations) เพื่อเพิ่มจุดขายใหม่ให้แข่งขันกับประเทศอื่นได้

6. การพัฒนาเครือข่ายเส้นทางการบินให้ครอบคลุมเส้นทางมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความได้เปรียบในการขยายตลาดนักท่องเที่ยว

จะเห็นว่าผลกระทบจาก Tourism war ที่เกิดขึ้นนี้ กำลังผลักดันให้ภาคธุรกิจไทย ต้องเร่งปรับแผนรับมือกับสถานการณ์ให้ทันท่วงที

SCB EIC มองว่า ในระยะยาว ภาคธุรกิจควรเน้นกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ท่องเที่ยวที่โดดเด่น แตกต่างจากประเทศคู่แข่ง การยกระดับประสบการณ์ใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวอยู่เสมอ ผ่านการจัดกิจกรรม อีเวนต์ หรือบริการที่สอดรับเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับเครือข่ายผู้ให้บริการท่องเที่ยวในประเทศต้นทาง เพื่อผลักดันนักท่องเที่ยวเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ มาตรการภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทยให้ฟื้นกลับมาได้เร็ว ซึ่งมาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่ออกมา เช่น การออกแคมเปญโปรโมชัน การโปรโมทการท่องเที่ยว และการยกระดับแหล่งท่องเที่ยว จำเป็นต้องดำเนินอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนได้ทันกับสถานการณ์

นอกจากนี้ การกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และ Brand image ของประเทศในระยะยาว รวมถึงการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการบริหารจัดการพื้นที่ และแหล่งท่องเที่ยว เพื่อช่วยในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันท่องเที่ยวของไทย ให้พร้อมแข่งขันในสมรภูมิ Tourism War

Chalathip ThirasoonthrakulWriterChalathip Thirasoonthrakul
Business and Economics Editor
[email protected]

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง