หนึ่งในคำสั่งแรกๆ ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ หลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการที่ประกาศออกมาและเกี่ยวข้องกับไทยมากที่สุดเลยตอนนี้ คือ การออกบันทึกการค้า (Trade memorandum) เพื่อจะประเมินสาเหตุการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯที่มีต่อประเทศอื่นๆ จะได้พิจารณานโยบายตอบโต้ โดยเฉพาะกับจีน แคนาดา และเม็กซิโก
ประเด็นที่อาจจะเข้าข่ายกับประเทศไทย คือดุลการค้าของไทยที่เกินดุลสูงกับสหรัฐฯ ดังนั้นมีโอกาสค่อนข้างสูงที่ไทยจะเป็นประเทศที่ถูกติดตามโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบในสหรัฐฯ
โดยนโยบายของทรัมป์ที่ทุกคนจับตามองมากที่สุด คือ การขึ้นภาษีนำเข้าซึ่งมีโอกาสจะสร้างความวุ่นวายต่อเศรษฐกิจโลก
ที่ต้องจับตาดู คือ KKP Research มองว่านโยบายการค้าของทรัมป์อาจไม่ใช่แค่สงครามการค้าเหมือนเมื่อ 8 ปีที่แล้วตอนเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก บวกกับถ้าดูสภาพเศรษฐกิจไทยตอนนี้ ต้องยอมรับว่าไม่เหมือนทศวรรษที่แล้ว ดังนั้นการเตรียมรับมือแบบเดิมอาจไม่ได้ผลอีกต่อไป
ที่สำคัญผลกระทบที่คาดว่าอาจจะมีต่อเศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะอุตสาหกรรมทีส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เท่านั้น แต่สหรัฐฯ อาจบีบให้ไทยเปิดตลาดให้แก่สินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้นซึ่งอาจเพิ่มการแข่งขันและมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศอื่นๆอีกด้วย
[ “สงครามการค้า” เป็นเครื่องมือต่อรอง ]
KKP Research วิเคราะห์ว่าจุดประสงค์หลักในการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ อาจไม่ใช่เพื่อสร้างสงครามการค้า แต่เป็นเครื่องมือที่สหรัฐฯ สามารถใช้ในการเจรจา เพื่อให้สหรัฐฯ แก้ปัญหาขาดดุลการค้ากับหลายประเทศ และแรงงานในสหรัฐจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิต และการแข่งขันของสินค้าที่ผลิตในต่างประเทศ รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิทางปัญญาที่สหรัฐมองว่าไม่เป็นธรรม
ในมุมมองของประธานาธิบดีทรัมป์ เครื่องมือสำคัญที่สหรัฐฯ จะใช้เจรจาการค้าที่เป็นธรรมคือการใช้ภาษีนำเข้า ในการต่อรองกับกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรลุเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศ ซึ่งรวมไปถึงประเด็นผู้อพยพ ยาเสพติด ค่าใช้จ่ายทางการทหาร การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ และประเด็นการค้าและธุรกิจอื่นๆ
โดย 5 กลุ่มเสี่ยงที่ทรัมป์จ้องจับผิด หรืออาจใช้มาตรการภาษีเพื่อกดดัน
1.บริษัทอเมริกันที่ย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ
2.สินค้าจีนที่กระทบตลาดผู้ผลิตในประเทศสหรัฐฯ
3.ประเทศที่เกินดุลการค้าสูงกับสหรัฐฯ เช่น เม็กซิโก เวียดนาม และไทย
4.สินค้าจีนที่ส่งออกผ่านประเทศที่สาม
5.ประเทศที่กีดกันสินค้าสหรัฐฯ ด้วยภาษีหรือมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี
แม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่สามารถผลิตสินค้าทุกอย่างเองได้ทั้งหมด แต่หากนโยบายเหล่านี้ประสบความสำเร็จในการเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในสินค้าที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญและสามารถลดมาตรการกีดกันสินค้าสหรัฐฯ ได้ ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาวเติบโตได้ดีมากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ
[ ไทยจะตกเป็นเป้าของสหรัฐฯ หรือไม่ ]
ในกรณีของไทย แม้ว่าไทยจะเป็นประเทศเล็กในสายตาของสหรัฐฯ และดูผิวเผินไม่ใช่เป้าที่จะถูกขึ้นภาษีแต่ในมุมมอง KKP research มองว่ามีหลายประเด็นที่อาจทำให้ไทยเสี่ยงเข้าข่ายเป็นประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายรองของสหรัฐฯ คือ
– การเกินดุลการค้าอาเซียน-สหรัฐฯ
อาเซียนเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 2.4 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสัดส่วนสูง โดยสินค้าหลักที่อาจถูกเพ่งเล็งคือ อิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสก์ และยางรถยนต์
– สินค้า ‘ทางผ่าน’ จากจีน
หลังสงครามการค้าปี 2018 ดุลการค้าระหว่างไทยกับจีน-สหรัฐฯ เปลี่ยนไปในลักษณะที่สงสัยว่าจีนใช้ไทยเป็นฐานส่งออกเพื่อเลี่ยงภาษี โดยสินค้าเช่น แผงโซลาร์เซลล์ อาจเป็นตัวอย่างที่ถูกจับตามอง
– มาตรการกีดกันสินค้าสหรัฐฯ ของไทย
ไทยเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เช่น เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ ในอัตราสูง รวมถึงมาตรการป้องกันสารเร่งเนื้อแดง ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็น “มาตรการกีดกันการค้า” ที่ทำให้ไทยได้เปรียบโดยไม่เป็นธรรม
การประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอาจมีความซับซ้อนสูง เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่สำคัญแนวทางผลลัพธ์ของการเจรจาหากเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาดูผลกระทบที่เป็นไปได้ว่าจะมีแรงกระแทกต่อเศรษฐกิจไทย คือ
– สินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ เสี่ยงสูญเสียโอกาส หากมีการขึ้นภาษี สินค้าหลัก เช่น ฮาร์ดดิสก์และยางรถยนต์ อาจสูญเสียตลาดสำคัญ
– สินค้าจีนที่ส่งผ่านไทยลดลง บริษัทจีนที่เคยใช้ไทยเป็นฐานส่งออกอาจย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น เช่น ลาวหรืออินโดนีเซีย เพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการภาษี
– การเปิดตลาดสินค้าเกษตร สหรัฐฯ อาจบังคับให้ไทยลดภาษีสินค้าเกษตร เช่น เนื้อหมูและเนื้อไก่ ซึ่งจะเพิ่มการแข่งขันในประเทศและกระทบผู้ผลิตภายใน
[ ทางรอดของไทย: เตรียมกรอบเจรจากับสหรัฐฯให้พร้อม
ทางรอดหลักๆ คือ ภาครัฐต้องเตรียมแผนสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดโดยเฉพาะกลยุทธ์ในการเจรจากับสหรัฐฯ เช่น สหรัฐฯ น่าจะต้องการอะไรจากไทย และมีสิ่งใดที่ไทยจะสามารถนำเสนอต่อสหรัฐฯ และผลกระทบในแต่ละทางเลือกเป็นอย่างไร เพื่อพิจารณาผลกระทบทางเศรษฐกิจได้อย่างรอบด้าน
บทเรียนสำคัญในทุกการเจรจาข้อตกลงการค้า คือทุกข้อตกลงจะมีผู้ได้และเสียประโยชน์อยู่
กรอบในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงจีน ประเทศไทยควรคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยทั้ง ผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ การจ้างงาน และผลต่อผู้บริโภคซึ่งแต่ละกลุ่มอาจได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยในวันนี้แตกต่างจากสงครามการค้ารอบแรกเมื่อ 8 ปีก่อนอย่างมาก ทั้งเศรษฐกิจที่ซบเซาลงจากปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจจีนที่ไม่แข็งแกร่งเหมือนแต่ก่อนจนส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของโลกและไทยจากประเด็นการตีตลาดของสินค้าจีนจำนวนมาก และทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากจีนที่อาจไม่กลับมาโตได้ดีเท่าเดิม
สถานะที่อ่อนแอลงทั้งเศรษฐกิจในประเทศ และเสถียรภาพด้านต่างประเทศทำให้ในวันที่ทรัมป์กลับมา สงครามการค้าจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่าเดิม โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อดุลการค้าที่ไทยอาจไม่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ได้มากเท่าในอดีตอีกต่อไป
การกลับมาของทรัมป์ในฐานะผู้นำสหรัฐฯ คือสัญญาณชัดเจนว่าเกมการค้าระหว่างประเทศกำลังเปลี่ยนไปอีกครั้ง ไทยแม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่ความเชื่อมโยงในห่วงโซ่การค้าระดับโลกอาจทำให้เราไม่อาจหลีกเลี่ยงแรงกระแทกนี้ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทุกความเป็นไปได้ เพราะในโลกการค้าจะมามีแต่ ‘ความหวัง’ แค่นั้นไม่ได้










