
ขณะนี้โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมในหลายด้าน ทั้งพื้นที่ป่าที่ลดลงจากไฟป่าและการถางป่าเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ น้ำแข็งในหลายจุดทั่วโลกที่กำลังละลายในอัตราเร่งที่น่ากลัว รวมถึงเพอร์มาฟรอสต์ (permafrost หมายถึงพื้นดินที่อยู่ในพื้นที่หนาวเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็ง) ในซีกโลกเหนือที่กำลังละลายและปลดปล่อยเชื้อโรคที่ถูกแช่แข็งไว้ภายในออกมา
ทั้งหมดนี้ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่ามีรากมาจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก (climate change) ที่ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ
เหตุการณ์ทั้งหมดที่ทีมข่าวเวิร์คพอยท์รวบรวมมานี้ ไม่เพียงแต่เตือนว่าภัยจากภาวะโลกร้อนอาจใกล้ตัวกว่าที่คิด แต่อาจเป็นสัญญาณด้วยว่าอาจอีกไม่ไกลและไม่นาน ที่วิกฤติสิ่งแวดล้อมจะไปถึงจุดที่ไม่อาจแก้ไขและหวนย้อนกลับ

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา เกาะกรีนแลนด์ได้สูญเสียน้ำ
แต่วันดังกล่าวก็ไม่ใช่เพีย
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่จะก

ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านม
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หลายค

พื้นที่น้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกาที่ขั้วโลกใต้กำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ข้อมูลงานวิจัยโดย Proceeding of the National Academy of Sciences ได้เก็บข้อมูลการขยายตัวและหดตัวของทะเลน้ำแข็ง (sea ice) ที่ทวีปแอนตาร์กติกา และพบว่าในช่วง 3 ปีระหว่างปี 2014-2017 พื้นที่น้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกาหายไปกว่า 2.1 ล้านตารางกิโลเมตร หรือเทียบได้กับ 4 เท่าของพื้นที่ทั้งประเทศไทยการสูญเสียทะเล
น้ำแข็งของแอนตาร์กติกาจะยิ่งเร่งกระบวนการของภาวะโลกร้อนขึ้นไปอีก เนื่องจากปกติแล้วพื้นผิวสีขาวของแผ่นน้ำแข็งสะท้อนแสงแดดกว่า 50-70% กลับขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศ แต่น้ำทะเลจะดูดซับพลังงานจากแสงแดดกว่า 90% เอาไว้
นั่นหมายความว่ายิ่งทวีปแอนตาร์กติกาสูญเสียทะเลน้ำแข็งไปมากขึ้นเท่าไหร่ พื้นที่ที่จะสะท้อนแสงแดดกลับไปก็จะยิ่งน้อยลง ในขณะที่พื้นที่น้ำทะเลที่จะเก็บกักพลังงานแสงแดดไว้ก็จะยิ่งมากขึ้น

อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดต่อเนื่องจากภาวะโลกร้อนก็คือ การทำให้ เพอร์มาฟรอสต์ (permafrost หมายถึงพื้นดินที่อยู่ในพื้นที่หนาวเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็ง) ละลาย ผลเสียที่ตามมาจากการละลายของเพอร์มาฟรอสต์นี้ก็คือ แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อโรคจำนวนหนึ่งที่ถูกแช่แข็งอยู่ในพื้นดินแช่แข็งเหล่านี้ จะตื่นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง
เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นอันตรายกับมนุษย์อย่างยิ่ง เพราะเชื้อโรคหลายตัวมนุษย์อาจไม่เคยพบและไม่เคยพัฒนาภูมิคุ้มกันมาก่อน ในอนาคตจึงมีความเสี่ยงที่อาจเกิดโรคระบาดชนิดใหม่จากเชื้อโรคที่ตื่นขึ้นมานี้ได้

ถึงตอนนี้ ไฟป่าได้ไหม้เผาป่าอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้มา 3 สัปดาห์ติดแล้ว โดยในทุกๆ นาที พื้นที่ป่าอเมซอนกำลังโดนเผาทำลายเป็นพื้นที่มากกว่า 1 สนามฟุตบอล
อเมซอนถือเป็นป่าร้อนชื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของป่าแห่งนี้คือ มันผลิตน้ำฝนเองครึ่งหนึ่งของฝนที่ตกลงในพื้นที่ทั้งหมด นั่นหมายความว่าหากพื้นที่ป่าถูกทำลายจนเหลือน้อยลง ความชื้นในพื้นที่และฝนที่จะตกลงมาก็จะน้อยลงไปด้วย
นักวิทยาศาสตร์ได้เคยประเมินไว้ว่า หากพื้นที่ป่าของอเมซอนถูกทำลายลงอีกเพียง 1 ใน 5 อาจทำให้อเมซอนเข้าสู่วังวนของความแห้งแล้ง ฝนตกลงมาไม่เพียงพอที่จะทำให้พื้นที่คงสภาพการเป็นป่าร้อนชื้นได้อีกต่อไป และในที่สุดอาจมีสภาพไม่ต่างจากทุ่งหญ้าสะวันนา
และหากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ผู้คนทั่วโลกก็ย่อมได้รับผลกระทบ เพราะปัจจุบันอเมซอนเปรียบเสมือนปอดของโลก ที่ผลิตออกซิเจนกว่า 20% ที่หมุนเวียนอยู่ทั่วโลก

กราฟที่เห็นอยู่นี้คืออุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกตั้งแต่ปี 1850 ถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าโลกมีแนวโน้มร้อนขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งปี 2019 นี้ก็เป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการจดบันทึกข้อมูลมา
คงต้องดูกันต่อไปว่าความร่วมมือเรื่องโลกร้อนในระดับโลก จะเพียงพอที่จะช่วยทำให้แนวโน้มที่โลกร้อนขึ้นนี้ย้อนกลับและไม่วิกฤติเกินไปจนไม่อาจหวนกลับได้หรือไม่









