
แม้รัฐบาลจะพยายามให้ความรู้ด้านการวางแผนครอบครัวและมาตรการทางภาษี แต่อัตราการเกิดของคนไทยยังลดลงเรื่อยๆ ขณะที่ผู้ปกครองบางส่วนคาดหวังให้ทุกฝ่ายสร้างสรรค์สังคมที่น่าอยู่ ก่อนออกมาตรการจูงใจที่สร้างภาระงบประมาณ
เด็กวันนี้ คือ ผู้ใหญ่ในวันหน้า คำคำนี้ย้ำเตือนให้ผู้ปกครองหลายคนเลือกที่จะรอให้ทุกอย่างพร้อม ทั้งวุฒิภาวะ หน้าที่การงาน และ ฐานะการเงิน ก่อนตัดสินใจมีลูกสักหนึ่งคน เพื่อฟูมฟัก และสนับสนุนให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพ มีการศึกษาที่ดี ในยุคค่าครองชีพสูงเช่นนี้
สถานการณ์ดังกล่าวไม่ต่างจากหลายประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงอายุ หลังอัตราการเกิดต่ำ จนเริ่มขาดแคลนประชากรวัยแรงงาน
โดยไทยมีอัตราการเกิดลดลงต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2556 เหลือประมาณ 7 แสนคน จากจำนวนประชากรทั้งประเทศ 65 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 1.06 ในปี 2559

ขณะที่รัฐบาลพยายามออกมาตรการจูงใจให้คู่สมรสมีลูกอย่างน้อย 2 คน ตามนโยบายมีลูกเพื่อชาติ เช่น การสุ่มแจกคู่มือวางแผนครอบครัว พร้อมวิตามินบำรุงครรภ์ จ่ายเงินอุดหนุนค่าเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ถึง 3 ขวบ เดือนละ 600 บาท
และมาตรการลดหย่อนภาษีลูกคนที่ 2 เพิ่มอีก 3 หมื่นบาท ของกรมสรรพากร คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนนี้ เพื่อให้ผู้คลอดลูกคนที่ 2 ตั้งแต่ปีนี้ สามารถใช้สิทธิได้
แต่ผู้ปกครองบางส่วนกลับมองว่า มาตรการภาษี ไม่มีทางเพียงพอจะให้ครอบครัวตัดสินใจมีลูกคนที่ 2 แต่หากผู้เสียภาษีทุกคนช่วยกันทำสังคมให้น่าอยู่ ปลอดภัย ควบคู่กับการสร้างความเท่าเทียมด้านการศึกษาและเศรษฐกิจ มากกว่าเพิ่มภาระงบประมาณ

หากพิจารณามาตรการสนับสนุนการเพิ่มประชากรอย่างสิงคโปร์ ตั้งแต่จ่ายเงินแจกเงินลูกคนที่ 1-2 คนละประมาณ 1.4 แสนบาท หากมีลูกคนที่ 3 และ 4 ได้เงินโบนัสอีกคนละ 1.9 แสนบาท โดยแบ่งจ่าย 3 งวดใน 1 ปี
พร้อมโอนเงินสมทบ ฝากเท่าไหร่ รัฐสมทบอีกเท่าตัว เพื่อการศึกษาหลังระดับมัธยมฯ สิทธิทางภาษี และสิทธิการลา โดยได้เงินเดือนเต็มจำนวน เช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อ สามารถเลือกขอใช้สิทธิลาเพื่อช่วยภรรยาเลี้ยงลูก สูงสุด 1 ปี หลังลูกคลอด

มาตรการเพิ่มประชากรของรัฐบาล ซึ่งเต็มไปด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณและสภาพอุตสาหกรรม อาจเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายดังกล่าว
ทำให้ไทยต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติมากกว่า 302,000 คน จากกัมพูชา ลาว และเมียนมา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมประมง และมีแนวโน้มนำเข้าแรงงานต่างชาติในอุตสาหกรรมระดับสูงมากขึ้น ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0









