สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า เศรษฐกิจไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 2.4% แม้ยังเติบโต แต่มีสัญญาณชะลอลงเมื่อเทียบกับต้นปี โดยเฉพาะไตรมาส 3 ที่เผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้าโลก เศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน ทำให้หลายภาคส่วนของเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณเปราะบางมากขึ้น
[ ภาคผลิต–ส่งออก ยังอ่อนแรง แม้ต้นปีโตแรง ]
หนึ่งในจุดอ่อนสำคัญของปีนี้คือภาคการผลิตที่ยังไม่กลับมาฟื้นตัวเต็มที่ อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่เพียงประมาณ 59–60% สะท้อนว่าภาคอุตสาหกรรมยังทำงานต่ำกว่าศักยภาพ สาเหตุหลักมาจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ชะลอตัว และต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ทั้งพลังงาน โลจิสติกส์ และต้นทุนทางการเงิน
ด้านภาคส่งออกในปี 2568 แม้ยังขยายตัวได้ดีที่ 11.2% จากสินค้าบางหมวดที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกช่วงต้นปี แต่โมเมนตัมเริ่มชะลอในช่วงครึ่งหลังของปีจาก เศรษฐกิจสหรัฐ–ยุโรป–จีนที่เติบโตน้อยกว่าคาด มาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มขึ้น และการชะลอตัวของปริมาณการค้าโลก (Global Trade Volume) ส่งผลให้แนวโน้มการผลิตเพื่อส่งออกของไทยยังไม่สามารถฟื้นได้เต็มแรง
[ กำลังซื้อยังฟื้นช้า หนี้ครัวเรือนสูง–ค่าครองชีพกดดัน ]
ขณะที่การบริโภคเอกชนยังเป็นเครื่องยนต์หลักของปี 2568 โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและภาคบริการ ถึงแม้ว่ากำลังซื้อของครัวเรือนยังไม่ฟื้นแรง เพราะภาระหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง บวกกับค่าครองชีพยังสูง และรายได้ฐานของหลายอาชีพฟื้นตัวช้ากว่าเศรษฐกิจรวม ส่งผลให้การบริโภคบางหมวด เช่น สินค้าคงทนหรือซื้อครั้งใหญ่ยังซบเซาอยู่
นอกจากนี้ ‘สภาพัฒน์’ ยังคาดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยปี 2568 จะอยู่ที่ -0.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำมาก สะท้อนทั้งราคาสินค้าในประเทศไม่ขยับ อุปสงค์ในประเทศไม่ร้อนแรง และราคาพลังงานที่อยู่ในระดับค่อนข้างทรงตัว เงินเฟ้อติดลบทำให้ต้นทุนชีวิตของประชาชนลดลง แต่ก็สะท้อนการใช้จ่ายที่ยังไม่แข็งแรง
ด้านภาครัฐการใช้จ่ายและการลงทุนยังช่วยประคองเศรษฐกิจ แม้การเบิกจ่ายบางส่วนล่าช้ากว่ากรอบเวลา แต่ยังเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในปีที่เศรษฐกิจภายนอกไม่เอื้อ
ส่วนภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยวยังเป็นกลไกหลัก โดยคาดว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้อยู่ที่ 1.52 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนและช่วยชดเชยภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นเต็มตัวได้บางส่วน
ดังนั้น ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568 ยังอยู่ในภาวะ ‘ฟื้นตัวช้า’ (slow recovery) โดยประเมินการเติบโตของ GDP ทั้งปีนี้ 2568 จะเติบโตอยู่ราว 2% และปีหน้า 2569 โตที่ 1.7%
[ แนวโน้มปี 2569 ประเมิน GDP โต 1.7% ]
ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2569 ‘สภาพัฒน์’ คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 1.2–2.2% โดยมีค่ากลางที่ 1.7% ซึ่งยังเป็นระดับการเติบโตที่ต่ำกว่าศักยภาพของประเทศ ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ และการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่แรงส่งจากภายนอก เช่น การค้าโลกและเศรษฐกิจคู่ค้า ยังเปราะบางและเป็นความเสี่ยงสำคัญของปีหน้า
ในด้านการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวได้ราว 2.1% แม้ยังเป็นบวก แต่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากรายได้ของครัวเรือนทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรยังโตช้า
ขณะเดียวกันภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังคงจำกัดการใช้จ่าย โดยเฉพาะในหมวดสินค้าคงทนหรือการใช้จ่ายครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีจะยังช่วยพยุงกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ
สำหรับการลงทุนรวม คาดว่าจะเติบโต 1.4% แบ่งเป็นการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวประมาณ 0.9% และการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะโต 2.9% แต่ทั้งสองภาคส่วนยังสะท้อนภาพการลงทุนที่ขยายตัวในระดับต่ำ
สาเหตุหลักมาจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ลดลง ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อสินค้าหลายหมวดของไทย ทำให้ผู้ประกอบการยังไม่เร่งขยายการลงทุนเหมือนในช่วงก่อนหน้า
[ ส่งออกหดตัว ท่องเที่ยวยังเป็นตัวพยุงหลัก ]
ด้านภาคต่างประเทศ ‘สภาพัฒน์’ ประเมินว่ามูลค่าการส่งออกสินค้า (ดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2569 จะ หดตัว -0.3% จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอและปริมาณการค้าโลกที่ลดลง ขณะเดียวกันมาตรการด้านภาษีและกีดกันการค้าจากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นจุดแข็ง โดยคาดว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.65 ล้านล้านบาท ช่วยหนุนภาคบริการ การจ้างงาน และรายได้ในระบบเศรษฐกิจ
[ ปีหน้ายังขยายตัว แต่ฟื้นตัวจำกัด ]
ในปีหน้า 2569 ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้านที่ต้องติดตามใกล้ชิด ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ความผันผวนของตลาดเงินโลก และระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ซึ่งอาจกดดันการฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศ
รวมถึงบรรยากาศทางการเมืองก่อน–หลังการเลือกตั้งที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน ภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจไทยปีหน้า ‘ยังขยายตัว แต่ฟื้นตัวอย่างจำกัด’ และต้องพึ่งพาแรงขับเคลื่อนจากในประเทศเป็นหลักมากกว่าปัจจัยภายนอก
ดังนั้น เศรษฐกิจไทยทั้งปีนี้และปีหน้าจะยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยแรงหนุนจากการบริโภค การท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐเป็นหลัก ขณะที่แรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก หนี้ครัวเรือนสูง และความไม่แน่นอนทางการเมือง ยังคงเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการเติบโตในระยะสั้น










