
ภาพ: Thai News Pix
ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า ไม่ห่วงนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคการเมือง ที่นำมาใช้หาเสียงในการเลือกตั้ง จะส่งผลกระทบต่อหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น เพราะงบประมาณรายจ่ายที่เหลือเพื่อใช้ตามนโยบาย มีเพียง 1 แสนล้านบาท และการใช้เงินก็ต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติหนี้สาธารณะ เพื่อควบคุมดูแลวินัยการเงินการคลังของประเทศ
นายประสงค์ พูลธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึง นโยบายด้านเศรษฐกิจที่หลายพรรคการเมือง ใช้หาเสียง ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลว่าจะกระทบต่อวินัยการเงินการคลังของประเทศ โดยปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า ไม่น่าห่วงเรื่องนี้ เนื่องจากกระทรวงการคลัง มีพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะเพื่อกำกับดูแลการใช้งบประมาณไม่ให้เกินกรอบ
นอกจากนี้ยังมีพระราชบัญญัติงบประมาณ ที่จะใช้ควบคุมทั้งงบประมาณรายจ่ายและงบลงทุน รวมถึงมีกฎหมายที่จะตรวจสอบความโปร่งใส ซึ่งรัฐบาลใหม่จะมีช่องว่างของงบประมาณรายจ่ายให้ใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 2-3 ของงบประมาณรายจ่าย 3 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปีเท่านั้น และหากต้องการใช้งบประมาณวงเงินเกิน 1,000 ล้านบาท ก็จะต้องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง

นายประสงค์ พูลธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง
“กระทรวงการคลังมีเงินอยู่จำนวนหนึ่งที่ใช้สนับสนุนนโยบายต่างๆ แต่ต้องดูว่าโครงการนี้เป็นที่ต้องการของประชาชนจริงๆหรือไม่ และมีประโยชน์กับทุกฝ่าย เพราะบางทีนโยบายโดนใจ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับประชาชนก็ได้ อีกทั้ง นโยบายของรัฐบาลใหม่ถ้าเสนอเข้ามา ต้องใช้เงินเกินงบประมาณ 1, 000 ล้านบาท ก็จะต้องส่งเข้าครม.พิจารณาก่อนทุกครั้ง และแจ้งให้ประชาชนรับรู้ด้วย ส่วนเรื่องการหาเงินเพิ่มให้เพียงพอกับนโยบายต่างๆ นั้น มองว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องหาวิธีการหาเงินเอง”
นายประสงค์ ยังระบุว่า อยากให้ประชาชน พิจารณานโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองอย่างรอบคอบก่อนจะเลือกว่าเป็นพรรคใด โดยดูจากความจำเป็นว่าใช้งบประมาณมหาศาลหรือไม่ และนโยบายที่ใช้จะเกิดประโยชน์ระยะยาว จับต้องได้
สำหรับปีงบประมาณ 2563 กระทรวงการคลัง ได้มีการตั้งงบประมาณเรียบร้อยแล้ว แต่หากรัฐบาลชุดใหม่ ต้องการที่จะเปลี่ยนเเปลงกรอบงบประมาณก็สามารถทำได้ ไม่ขัดข้อง เนื่องจากมี พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีเสถียรภาพด้านการเงินมากขึ้น









