
ร.ฟ.ท.ขยับเปิดเดินรถสายสีแดง “บางซื่อ-รังสิต , บางซื่อ-ตลิ่งชัน” เป็น ม.ค. 64” ชง สคร. เคาะประมูลที่ดินบางซื่อหมื่นล้าน SCG-Central รอชิงเค้ก เร่งเคลียร์บ.ลูก รับสายสีแดง แจงค่าโดยสาร 14-45 บาท ปักหมุด ‘รังสิต’ เป็นInterchange station พร้อมแจงแผนลงทุนทางคู่เฟส 2
เมื่อวันที่ 25 ก.ย.61 นายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทลูกด้านทรัพย์สินว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนจัดตั้งบริษัทภายในปีหน้า อย่างไรก็ตามด้านการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์สถานีกลางบางซื่อนั้นจะเริ่มจากแปลงเอ พื้นที่ 32 ไร่วงเงิน 1.1 หมื่นล้านบาทนั้นจะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมทุนตามมาตรา 35 ในวันนี้ 26 ต.ค.นี้หากได้รับอนุมัติจะส่งเรื่องไปกระทรวงคมนาคมและสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ต่อไป คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ในช่วงไตรมาสแรก 2562
แหล่งข่าว จากรฟท.เปิดเผยว่า พื้นที่แปลงเอจะเป็นแห่งแรกในสถานีกลางบางซื่อที่จะเปิดประมูล โดยกายภาพนั้นจะมีรางรถไฟตัดผ่านกลางพื้นที่ ดังนั้นจึงแบ่งพื้นที่เชิงพาณิชย์เป็นสองฝั่งโดยอาจจะทยอยพัฒนาทีละฝั่ง แต่คงต้องเปิดให้บริการภายในต้นปี 2564 เมื่อเปิดเดินรถไฟชานเมืองสายสีแดง ทั้งนี้ล่าสุดบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC และ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด (Central Group) เนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้กับจุดยุทธศาสตร์เชิงที่ตั้งของทั้งสองบริษัท

ส่วนความคืบหน้าการก่อตั้งบริษัทลูกด้านเดินรถนั้น นายวรวุฒิ กล่าวต่อว่า ต้องชะลอการก่อตั้งออกไปก่อนเป็นปี 2562 เพราะต้องรอปรับโครงสร้างบริษัทลูก บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด (รฟฟท.) ที่ต้องบริหารแอร์พอร์ตลิงก์ต่ออีก 2 ปี ภายหลังลงนามสัญญาโครงการ 3 สนามบิน ดังนั้นช่วงปลายปีหน้า-2563 จะเร่งฝึกอบรมบุคลากรจำนวนมากเพื่อเปิดบริการรถไฟสายสีแดงช่วงรังสิต-บางซื่อ ในเดือน ม.ค. 2564
เบื้องต้นคาดว่า ปริมาณผู้โดยสารจะสามารถถึงจุดคุ้มทุน (Breakeven) ได้ตั้งแต่ปีแรก คือ 8 หมื่นคน/วัน ส่วนด้านราคานั้น คงอ้างอิงจากราคารถไฟฟ้าเป็นเกณฑ์มีราคาเฉลี่ยที่ 34 บาทต่อการเดินทางหนึ่งครั้ง โดยราคาเริ่มต้นที่ 14-15 บาทและราคาสูงสุดไม่เกิน 45 บาท ส่วนสถานีที่รฟท.เชื่อว่าจะมีผู้โดยสารจำนวนมากจนต้องพัฒนาเป็นสถานีหลักที่มีจุดเชื่อมต่อการเดินทางกับระบบขนส่งมวลชนอื่นคือสถานีรังสิต ทั้งนี้เชื่อว่าปริมาณผู้โดยสารจะมากกว่ารถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์แน่นอน

นายวรวุฒิ กล่าวอีกว่าความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ เฟส 2 วงเงิน 4 แสนล้านบาท ขณะนี้กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างเสนอโครงการให้สภาพัฒน์พิจารณาความเหมาะสมในการลงทุน เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเสนอเข้าสู่ ครม. ได้ภายในปลายปีนี้ ก่อนทยอยเปิดราคาในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าเป็นรายเส้นทางไป
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพัฒน์ว่าจะเลือกเส้นไหนบ้าง ทว่าเบื้องต้นจากการพิจารณาในมุมของ รฟท.นั้นพบว่าเส้นทางที่มีศักยภาพควรลงทุนนั้นส่วนใหญ่เน้นทางภาคอีสาน เพราะสามารถขนส่งได้ทั้งผู้โดยสารและสินค้าเชื่อมกับเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-สปป.ลาว และเชื่อมต่อกับเส้นทางโลจิสติกส์กลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง (GMS) เช่น ไทย-สปป.ลาว-จีน อาทิ รถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 174 กม. วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาท รถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 309 กม.วงเงิน 3.7 หมื่นล้านบาทและรถไฟทางคู่สายใหม่บ้านไผ่-นครพนม ส่วนภาคใต้นั้นเน้นลงทุนต่อขยายเส้นทางเพื่อเพิ่มขีดการรองรับผู้โดยสารสนับสนุนการท่องเที่ยว อาทิ รถไฟทางคู่ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 167 กม. วงเงิน 2.4 หมื่นล้านบาท และรถไฟทางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-สงขลา ระยะทาง 324 กม. วงเงิน 5.7 หมื่นล้านบาทเป็นต้น

ขอบคุณภาพจาก ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย









