
ขอบคุณภาพจาก FB.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ประเด็นคือ- หอการค้าไทย เผยผลสำรวจสงกรานต์ปีนี้คึกคัก คาดว่าจะมีเงินสะพัดสูงสุดในรอบ 13 ปี กว่า 132,000 ล้านบาท หรือตั้งแต่ปี 2549 ที่มีการใช้จ่ายช่วงสงกรานต์ 88,500 หมื่นล้านบาท
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลสำรวจ “พฤติกรรมและการใช้จ่ายของผู้บริโภคช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561” พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ เกือบร้อยละ 85 มองว่าบรรยากาศสงกรานต์ปีนี้จะคึกคักและสนุกสนาน โดยคาดการณ์ว่าเทศกาลสงกรานต์ 2561 จะมีเงินสะพัด 132,162.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.50 จากสงกรานต์ปีก่อนที่มีเงินสะพัด 127,693.59 ล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินสะพัดและคึกคักสูงสุดในรอบ 13 ปี นับตั้งแต่ปี 2549 ที่เริ่มมีการสำรวจ

โดยประชาชนร้อยละ 34.8 มองว่าสงกรานต์ปีนี้มีความคึกคักและสนุกสนานกว่าปีที่แล้ว โดยร้อยละ 81.5 วางแผนไปท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์ เป็นค่าใช้จ่ายในประเทศ 3,991.28 ล้านบาท และท่องเที่ยวต่างประเทศ 76,840 ล้านบาท ประชาชนวางแผนไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ประเทศที่นิยมไปเที่ยว คือญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ จีน ส่วนร้อยละ 42.8 วางแผนไปทำบุญมากกว่าปีก่อน และร้อยละ 29.3 ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น ขณะที่การซื้อสุราลดลงจากปีก่อนค่อนข้างมาก

และจากการสำรวจยังพบว่า บุคคลสำคัญและนักการเมืองที่ประชาชนอยากรดน้ำดำหัวมากที่สุด พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่วนดาราที่อยากเล่นน้ำสงกรานต์ด้วยมากสุด คือ โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ และเบลล่า-ราณี แคมแปน

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า หากเศรษฐกิจฟื้นตัวมากกว่านี้จะเป็นอานิสงค์ให้บรรยากาศสงกรานต์คึกคักมากกว่านี้ เพราะสงกรานต์ปีนี้ประชาชนวางแผนท่องเที่ยวและใช้จ่ายคึกคัก เนื่องจากมีวันหยุดยาว 5 วัน ประกอบกับการจัดกิจกรรมกระตุ้นท่องเที่ยวสงกรานต์ของภาครัฐและเอกชน รวมถึงกระแสออเจ้าทำให้คนนิยมแต่งชุดไทยเดินทางท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรองอย่างไม่เคยเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังโตแบบกระจุกตัว เพราะราคาสินค้าเกษตรยังตกต่ำ เกษตรกรยังมีรายได้ไม่สูงนัก แต่ภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวจากส่งออก และการเร่งลงทุนภาครัฐ ทำให้คนเริ่มใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและท่องเที่ยว โดยยังคงคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวในกรอบร้อยละ 4.2 – 4.6 และมีความเป็นไปได้ที่ร้อยละ 4.4











