
กรมศุลกากร รายงานสถิตินำเข้าเศษซากพลาสติกและซากอิเล็กทรอนิกส์ 5 เดือน สูงกว่า 2.6 แสนตัน มากกว่ายอดการนำเข้าทั้งปี 2560 หลังจีนบังคับใช้กฎหมายห้ามนำเข้าซากชิ้นส่วนวัตถุดิบ พร้อมวาง 6 มาตรการสกัดการนำเข้ามาใช้โดยผิดเงื่อนไข สามารถกักตรวจสอบ 73 ตู้ และเตรียมผลักดันกลับประเทศต้นทาง 40 ตู้
ภายหลังจีนบังคับใช้กฎหมายห้ามนำเข้าเศษซากชิ้นส่วนพลาสติกและอิเล็กทรอนิกส์ เพียง 5 เดือน ปริมาณนำเข้าเศษซากวัตถุดิบทั้ง 2 ประเภทเข้ามาในไทย ก็เพิ่มขึ้นสูงกว่าปริมาณนำเข้าทั้งปี 2560 ซึ่งขณะนี้นำเข้าเศษซากพลาสติกกว่า 2.1 แสนตัน และเศษซากอิเล็กทรอนิกส์อีก 5.22 หมื่นตัน รวมทั้งสิ้นกว่า 2.6 แสนตันแล้ว
ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร ยอมรับว่า การนำเข้าเศษซากวัตถุดิบทั้ง 2 ประเภท จากจีนและฮ่องกง มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทำให้คณะทำงานร่วมระหว่างกรมศุลกากร และกรมโรงงาน กำหนดมาตรการควบคุมการนำเข้าเศษซาก ภายใต้อนุสัญญาบาเซล 6 มาตรการ

ตั้งแต่ ร่วมกันจัดทำฐานข้อมูล หรือ บิ๊กเดต้า กำหนดให้มีเจ้าหน้าที่กรมโรงงานประจำท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อร่วมตรวจสอบกรณีพบตู้สินค้าต้องสงสัย หลังปรับวิธีการตรวจปล่อยจากเดิมจะดำเนินการสุ่มตรวจ เป็นให้เข้าเครื่องเอกซเรย์ทุกตู้ที่มีการนำเข้าเศษซากฯ
ซึ่งขณะนี้ กรมฯ ดำเนินการตรวจสอบตู้สินค้าต้องสงสัย จำนวน 73 ตู้คอนเทนเนอร์ และอยู่ระหว่างผลักดันกลับประเทศต้นทาง 40 ตู้คอนเทนเนอร์ หลังโรงงานคัดแยกเศษซากวัตถุดิบ จำนวน 5 แห่ง จากทั้งหมด 7 แห่ง ถูกพักใบอนุญาตชั่วคราว เนื่องจากทำผิดเงื่อนไขการนำเข้า และกฎหมายกรมโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม
ส่วนข้อเสนอให้ยกเลิกผลผูกพันอนุสัญญาบาเซล ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ปี 2557 นั้น เป็นเรื่องของผู้กำหนดนโยบาย

นายชัยยุทธ คำคุณ โฆษกกรมศุลกากร กล่าวอีกว่า การเพิ่มความเข้มงวดและการผลักดันเศษซากพลาสติก และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้อาจมีการลักลอบนำเข้าปะปนกับการนำเข้ากลุ่มเศษโลหะ แต่ไม่สามารถตรวจสอบอย่างเข้มงวดเหมือนกลุ่มที่มีสำแดงนำเข้าเป็นเศษซาก เนื่องจากติดขัดกฎหมายกรมโรงงาน ที่มีเงื่อนไขยอมรับการนำเข้าเศษซากที่ปะปนมากับกลุ่มเศษโลหะ จึงดำเนินการป้องปรามได้เพียงใช้การข่าว และปฏิเสธข่าวเจ้าหน้าที่กรมฯ อาจเรียกรับสินบน เพื่อตรวจปล่อยตู้สินค้าที่นำเข้าเศษซากพลาสติกและอิเล็กทรอนิกส์ แต่พร้อมตรวจสอบหากมีหลักฐาน









