ธนาคารเอชเอสบีซี ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ (2568) จะเติบโตสูงถึง 3.3% แรงหนุนมาจากนโยบาย ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ การแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล รวมถึงภาคการส่งออกที่กำลังฟื้นตัว และภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น
‘เจมส์ เชียว’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย เอชเอสบีซี โกลบอล ไพรเวท แบงค์กิ้ง (HSBC Global Private Banking) คาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน-6 (ASEAN-6) จะมีการเติบโตของ GDP ที่แข็งแกร่งถึง 4.8% ในปี 2568 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 4.4% โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนในระดับสูง
โดยประมาณ 60% ของจีดีพีของอาเซียนมาจากการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเติบโตของการส่งออกที่อ่อนแอในท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านการค้าในปี 2568
ประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับการส่งออกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในอาเซียนจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของวงจรอัพไซเคิลเทคโนโลยีระดับโลก (Global Tech Upcycle)
โดยเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนยังคงได้รับประโยชน์จากการปรับโครงสร้างการค้าและห่วงโซ่อุปทานที่ขับเคลื่อนด้วยการจำกัดการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการกีดกันทางการค้าต่อจีน
[ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยและคำแนะนำการลงทุนปี 2568 ]
เจมส์เน้นย้ำว่า เศรษฐกิจในประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในภูมิภาคที่คาดว่าจะเห็นการเติบโตเพิ่มขึ้นในปี 2568
โดยได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการคลังที่แข็งแกร่งและการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.3%
ทั้งนี้ มาตรการการคลังของรัฐบาลยังช่วยส่งเสริมการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากตลาดแรงงานที่มั่นคง
นอกจากนี้ ภาคการส่งออกของไทยก็กำลังฟื้นตัว โดยผู้ส่งออกเร่งการส่งมอบสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากภาษีนำเข้า ภาคการท่องเที่ยวก็มีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม จากมุมมองเชิงกลยุทธ์ของเอเชียในด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน ทำให้เราลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเล็กน้อย เนื่องจากเราเห็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจกว่าในตลาดเอเชียอื่น ๆ
สำหรับด้านอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่า ดอลลาร์สหรัฐต่อบาทไทย (USD-THB) จะมีความผันผวนเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า โดยคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง USD-THB จะสิ้นสุดปีที่อัตรา 36.0
‘เราคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ในปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน’
อย่างไรก็ตาม นโยบายการคลังจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต เนื่องจากธนาคารกลางมีแนวโน้มที่จะไม่ผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

[ แนวโน้มการลงทุนในเอเชียในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ]
เอชเอสบีซี โกลบอล ไพรเวท แบงค์กิ้ง แนะนำ 4 ธีมการลงทุนในเอเชียที่น่าสนใจที่สุดเพื่อคว้าโอกาสการเติบโตและผลตอบแทนในเอเชีย
(1) บริษัทในเอเชียที่เป็นผู้นำธุรกิจของประเทศ
เราให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีคุณภาพสูงในเอเชียที่พึ่งพาการบริโภคในประเทศและมีการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เพียงเล็กน้อย
โดยพบโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในจีน ฮ่องกง และญี่ปุ่น ที่ก้าวข้ามขีดการลงทุนจากบริษัทที่เป็นผู้นำในตลาดในประเทศด้วยความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในฐานะผู้นำและการเติบโตของรายได้ที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม
สำหรับญี่ปุ่น แนวโน้มเงินเฟ้อคงที่และการปรับขึ้นค่าแรงเป็นแรงหนุนการเติบโตของบริษัทที่เน้นการบริโภคในประเทศ
โดยความยืดหยุ่นของบริษัทที่เป็นผู้นำในประเทศในอาเซียนเหล่านี้เป็นเสมือนที่หลบภัยในการลงทุนเมื่อเผชิญกับความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้า
โดยคาดว่าบริษัทเหล่านี้จะมีผลการดำเนินธุรกิจดีกว่าบริษัทที่ทำธุรกิจส่งออกและมีสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก
(2) ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นของบริษัทในเอเชียที่เพิ่มสูงขึ้น
เรามองหาผลตอบแทนจากหุ้นที่ยืดหยุ่นและป้องกันความเสี่ยงได้ ด้วยการลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพสูงซึ่งเพิ่มผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นผ่านการจ่ายเงินปันผลที่สูงหรือการซื้อหุ้นคืน
โดยคาดการณ์ว่า ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นในเอเชีย (ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น) จะเพิ่มขึ้นถึง 12% ในปี 2568 โดยการซื้อหุ้นคืนในเอเชียกำลังเติบโตในอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะในญี่ปุ่น จีนแผ่นดินใหญ่ และฮ่องกง
การเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งคาดว่าจะนำไปสู่การเติบโตของเงินปันผลกว่า 7% ในเอเชีย (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) และ 9% ในญี่ปุ่นในปี 2568
โดยได้รับแรงหนุนจากความก้าวหน้าในด้านธรรมาภิบาลองค์กรในญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ อัตราผลตอบแทนเงินปันผลในสิงคโปร์และอินโดนีเซียที่ 4.2% รวมถึงในฮ่องกงและมาเลเซียที่ 3.9% ยังคงน่าสนใจเมื่อเทียบกับระดับเฉลี่ยทั่วโลกที่ 1.8%
(3) การเติบโตของอินเดียและ ASEAN
เราพบโอกาสที่น่าสนใจในอินเดียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งขับเคลื่อนโดยการบริโภคภายในประเทศ ความเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ของคนรุ่นใหม่
ชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น และความเจริญทางเทคโนโลยี โดยเรามุ่งเน้นไปที่กลุ่มธุรกิจที่เป็นผู้นำในตลาดบริโภคภายในประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้า
ทั้งนี้ การปรับลดราคาหุ้นอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดนี้ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากการเติบโตของกำไรที่คาดว่าจะอยู่ที่ 16% ในปี 2568
ตราผลตอบแทนต่อทุนที่สูง และการไหลเข้าของเงินทุนจากนักลงทุนภายในประเทศ โปรไฟล์การเติบโตที่ขับเคลื่อนโดยตลาดภายในของอินเดียทำให้ประเทศนี้มีความยืดหยุ่นต่อความเสี่ยงด้านการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ
สำหรับอาเซียน เราให้ความสำคัญกับหุ้นสิงคโปร์ เนื่องจากประเทศนี้มีการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับต่ำ
ซึ่งทำให้การลงทุนในหุ้นสิงคโปร์เป็นการป้องกันความเสี่ยงที่ดีเมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้านภาษีในภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อได้รับการสนับสนุนจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจ
(4) ตราสารหนี้เอเชียที่มีคุณภาพสูง
การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เพิ่มเติมในปี จะเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางในเอเชียลดอัตราดอกเบี้ยของประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตราสารหนี้คุณภาพในภูมิภาคนี้
เราจึงมุ่งเน้นไปที่ตราสารหนี้ของภาคธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือเหมาะกับการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากภูมิภาคเอเชีย, ตราสารหนี้จากกลุ่มสถาบันการเงินในเอเชีย, ตราสารหนี้ในสกุลเงินท้องถิ่นของอินเดียและอินโดนีเซีย,
USD Quasi-sovereign Investment Grade Bonds ที่เป็นตราสารหนี้คุณภาพสูงในสกุลเงินดอลลาร์ของอินโดนีเซีย และตราสารหนี้จากกลุ่มธุรกิจคาสิโนในมาเก๊า รวมถึงตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทจีนที่ทำธุริจในกลุ่ม Technology, Media and Telecom (TMT)
สามารถดูรายงานกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ฉบับเต็มได้ที่นี่










