หุ้นไทย

InnovestX ปรับเป้าหมาย SET Index ปี 68 เหลือ 1,350 จุด จากเดิม 1,550 จุด หลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก

การเงิน

InnovestX โบรกเกอร์ในกลุ่ม SCBX ปรับลดเป้าหมาย SET Index ปี 2568 ลงเหลือ 1,350 จุด จากเดิม 1,550 จุด หลังเศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก พร้อมเตือนสงครามการค้า อาจฉุดจีดีพีไทยโตต่ำกว่า 2%

‘สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา’ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า InnovestX ปรับลดเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) ลงเหลือ 1,350 จุด จากเดิม 1,550 จุด จากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่เผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก

อย่างไรก็ตาม มองว่า SET Index มีโอกาสฟื้นตัวในไตรมาส 2/2568 จากราคา (Valuation) ที่ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 ทำให้เริ่มกลับมาน่าสนใจในแง่มูลค่า โดยคาดว่า SET Index มีโอกาสฟื้นขึ้นที่ระดับ 1,300-1,350 จุดในช่วงไตรมาส 2/2568

ทั้งนี้ InnovestX แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพสูง มีรายได้หลักจากในประเทศ และได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

หุ้นเด่นที่แนะนำในไตรมาสนี้ ได้แก่ BCH กลุ่มโรงพยาบาลเชิงรับ พร้อมรายได้จากในประเทศ CPALL และ CPF หุ้นบริโภคในประเทศที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัว KTB และ TRUE กลุ่มธนาคารและเทคโนโลยีที่มีความแข็งแกร่งสำหรับต่างประเทศ

พร้อมแนะนำลงทุนในตลาดจีนและ Emerging Markets ที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐ โดยเน้นไปที่บริษัทที่มีเงินปันผลสูง มีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศสูงและมีลักษณะเชิงรับ ได้แก่ Verizon, UnitedHealth, Iberdrola, Hong Kong Exchange, Trip.com, Tencent และ Alibaba

‘สุทธิชัย คุ้มวรชัย’ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน InnovestX กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปี 2568 เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

โดยเฉพาะมาตรการภาษีนำเข้าที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและตลาดแรงงาน สร้างแรงกดดันต่อหุ้นโลก รวมถึงสหรัฐ

ขณะที่จีนกำลังแสดงสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นผ่านมาตรการกระตุ้นเชิงรุก โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายจีดีพีที่ 5% พร้อมทั้งออกพันธบัตรพิเศษระยะยาวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านสหภาพยุโรป มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์เริ่มลดลง

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากภายนอก ทั้งจากความตึงตัวของภาวะทางการเงิน รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจและคาดมีโอกาสฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568

หุ้นไทย

‘ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์’ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ InnovestX กล่าวว่า ด้านมุมมองเศรษฐกิจมหภาคมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Mild Stagflation ที่การเติบโตชะลอตัว ในขณะที่เงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าหมาย

ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เผชิญความท้าทายในการกำหนดนโยบายการเงิน โดยคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวที่ 0.25% ในปี 2568

ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีแนวโน้มจะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกในเร็วๆ นี้ เห็นได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) โลกชะลอตัวลงต่ำสุดในรอบ 1 ปี พื้นฐานเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่ามีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่ำ

ด้านจีน แม้มีความเสี่ยงด้านหนี้สินและอสังหาริมทรัพย์ แต่ภาครัฐยังคงเดินหน้าใช้นโยบายกระตุ้นผ่านโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และยานยนต์ไฟฟ้า

ความเสี่ยงสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งหากบังคับใช้อาจจะทำให้จีดีพีของไทยปี 2568 ลดลงจาก 2.5% เหลือเพียง 2.0% หรือต่ำกว่า

ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ’ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงาน Wealth Products & Strategy ของ InnovestX กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปี 2568 ตลาดการลงทุนยังเผชิญความผันผวนสูงจากมาตรการภาษี Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลก

แม้ภาคเทคโนโลยียังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจถูกกดดันจากความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่เพิ่มสูงขึ้นจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง

ทำให้ InnovestX แนะนำปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากมีความน่าสนใจลดลง และมีความเห็นเป็นกลางกับหุ้นไทย แต่เริ่มมองความเสี่ยงขาลง (Downside) จำกัด และมีโอกาสฟื้นตัวได้ระยะสั้น

ขณะเดียวกันมีมุมมองด้านบวกสำหรับตลาดจีน โดยเฉพาะหุ้น A-Shares เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐและการหันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน และสำหรับตลาดเวียดนามจากประเด็นโอกาสการยกระดับตลาดหุ้นขึ้นสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

พร้อมแนะนำกระจายพอร์ตสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตราสารหนี้ ซึ่งมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่มั่นคงในภาวะความผันผวนสูง

ทั้งนี้ หุ้นเชิงรับ (Defensive Stocks) อย่างการแพทย์ (Healthcare) และสาธารณูปโภค (Utility) คาดว่าจะยังคงให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นเติบโต (Growth Stocks)

โดยนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงสามารถพิจารณากองทุนตราสารหนี้ เช่น UGIS-N ควบคู่กับกองทุนหุ้นต่างประเทศ อย่างหุ้นจีน A-Shares กองทุน KFCSI300-A และหุ้นเวียดนาม กองทุน PRINCIPAL VNEQ-A

รวมถึงกองทุนหุ้นเชิงรับอย่าง LHHEALTH-A ซึ่งเน้นกลุ่ม Healthcare เพื่อสร้างสมดุลพอร์ตในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน

สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุน สามารถติดตามบทวิเคราะห์ และกลยุทธ์การลงทุนจาก InnovestX ที่ครอบคลุมทุกสินทรัพย์ได้ที่เว็บไซต์ของ InnovestX และ Facebook: InnovestX หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line: @InnovestX

แท็กที่เกี่ยวข้อง
TODAY BizviewWriterTODAY Bizview
TODAY Bizview by workpointTODAY
ข่าว สาระ ความรู้ ด้านธุรกิจในประเทศและต่างประเทศที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง