
สื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล เริ่มตั้งฉายาให้กับรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2523 ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่เริ่มด้วยการจัดอันดับ โดย พล.อ.เปรม ได้ตำแหน่ง รัฐมนตรีที่น่าเบื่อที่สุด เพราะไม่ค่อยยอมแสดงความคิดเห็นหรือให้ข่าว ขณะที่คำขวัญประจำปี คือ คำกล่าวของ พล.อ.เปรม ที่พูดกับผู้สื่อข่าวว่า “กลับบ้านเถอะลูก” เวลาที่ไม่ต้องการให้ข่าว จนปี 2526 จึงเปลี่ยนจากการจัดอันดับมาเป็นการตั้งฉายาควบคู่ไปด้วย ซึ่งยังอยู่ในช่วงที่ พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรีและได้ ฉายา “ขวัญใจชนบท” จากความพยายามในการแก้ปัญหาความยากจน
ส่วนฝั่งสภาผู้แทนราษฎร เริ่มตั้งฉายาตามมาในภายหลัง และได้กลายเป็นธรรมเนียมที่ช่วงปลายปีทั้งสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล และสื่อมวลชนประจำรัฐสภา จะประกาศฉายาคนการเมืองออกมา

อย่างไรก็ตามบางปีอาจจะมีการเว้นวรรค เพราะรัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่ไม่นาน หรือเป็นช่วงใกล้การเลือกตั้งก็จะงดเพื่อไม่ให้มีผลได้ผลเสีย หรือช่วงสถานการณ์ทางการเมืองไม่ปกติ โดยช่วงที่เว้นวรรคนานที่สุด คือยุคปัจจุบัน ที่มีการเว้นวรรคการตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2556 ด้วยเหตุผล ไม่ตั้งฉายารัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร ดังนั้น แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะดำรงตำแหน่งมาถึง 5 ปี แต่ยังไม่เคยได้รับการตั้งฉายาจากสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล

จนปลายปี 2562 เมื่อกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง จะมีการตั้งฉายาให้ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลประยุทธ์ 2 เป็นครั้งแรก
หากย้อนดูฉายาคนการเมืองที่ยังมีบทบาทในปัจจุบัน จะพบว่าด้านหนึ่งคือ บทบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น แม้อีกด้านจะมีผู้ไม่เห็นด้วยก็ตาม

สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบา
.
ปี 2536 “จอมฟุตเวิร์ก” จากลีลาการทำงานที่ถูกวิจาร
.
ปี 2542 “นายประกันชั้นหนึ่ง” มาจากการที่รัฐบาลมักเอาคุณ

สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบา
.
ปี 2544 “เศรษฐีเหลิงลม” หลังพ้นข้อกล่าวหาซุกหุ้น ได้แสดงออกว่าต้องการบริหาร
.
ปี 2545 “เทวดา” จากสไตล์เชื่อมั่นในตนเองสูง หากใครท้วงติงมักจะถูกตอบโต
.
ปี 2546 “นายทาส” เป็นผู้ประกาศปลดปล่อยประชา
.
ปี 2547 “ผู้นำจานด่วน”
ปี 2548 “พ่อมดมนต์เสื่อม”

.
ปี 2552 “หล่อหลักลอย” ภาพลักษณ์ดี หน้าตาดี การศึกษาดี จึงมีแม่ยกเป็นจำนวนมาก มักประกาศจุดยืนและหลักการด
.
ปี 2553 “ซีมาร์คโลชั่น” ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากป

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2554 และผ่านการตั้งฉายาจากสื่อม
.
ปี 2554 “นายกฯ นกแก้ว” มาจากความสวยที่โดดเด่น ดุจดั่งนกแก้วที่มีสีนสวยงา
.
ปี 2555 “ปูกรรเชียง” มาจากชื่อเล่นคือ “ปู” ซึ่งมีลักษณะ เดินเซไปเซมา ไม่ตรงทาง ในการบริหารงานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ต้องแบกภาระ และใบสั่งจากพี่ชายชื่อทักษ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีฉายาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้จะได้รับฉายาเป็นปีแรก

สำหรับฉายาคนการเมือง ในฝั่งทำเนียบรัฐบาล ปี 2562 นี้ มีรัฐมนตรีหลายคนที่อยู่ในข่ายได้รับการตั้งฉายาจากสื่อมวลชน ซึ่งบางคนเคยเป็นรัฐมนตรีและเคยได้รับฉายามาก่อนหน้านี้ แต่อาจจะไม่เป็นที่จดจำมากนัก

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เคยได้รับฉายา ป้อมพลัง “ป” ในปี 2552 สมัยเป็น รมว.กลาโหม ในรัฐบาล “อภิสิทธิ์” จากการได้รับความเกรงใจจากคนในรัฐบาลอย่างมาก สามารถผ่านเมกะโปรเจคต์ของกองทัพอย่างง่ายดาย เนื่องจากมีพลัง อิทธิพล และบารมีของคนชื่อ “ป. ปลา” แห่งกองทัพเป็นป้อมปราการค้ำบัลลังก์และป้องกันภัยทางการเมือง ขณะที่ปี 2553 ได้ฉายา ป้อมทะลุเป้า เพราะสร้างผลงานได้ทะลุเป้าในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการกุมอำนาจในฝ่ายความมั่นคง การปฏิบัติการกระชับพื้นที่ชุมนุมย่านราชประสงค์ การขออนุมัติใช้งบของกองทัพทั้งงบลับ-งบแจ้งที่ถูกครหาว่าสูงเป็นประวัติการณ์ การได้รับอนุมัติจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากรัฐบาลทุกรูปแบบ
.
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นรัฐมนตรีครั้งแรก แต่ด้วยความโดดเด่นจะเป็น 1 คนที่ได้รับฉายาแน่นอน
.
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เคยได้รับฉายา “เนติบริกร” เมื่อปี 2545 สมัยร่วมรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร โดยสื่อมวลชนระบุว่า มาจากการใช้ความสามารถทางกฎหมายพลิกแพลงให้รัฐบาลมีความชอบธรรมและได้เปรียบจากฝ่ายที่เห็นต่าง

ดาวเด่นฝั่งสภาปีนี้มีหลายคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนหน้าใหม่ เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หรือ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ รวมไปถึง ส.ส.หน้าเก่าแต่เพิ่งมีบทบาทโดดเด่นอย่าง น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ
ซึ่งต้องติดตามว่าเขาและเธอเหล่านี้จะได้ฉายาอะไรและจะโดนใจคอข่าวที่ติดตามหรือไม่









