รวมบทเรียน ‘สายน้ำเป็นพิษจากเหมือง’ ถึงสายหนูในแม่น้ำกก-สาย-โขง

รวมบทเรียน ‘สายน้ำเป็นพิษจากเหมือง’ ถึงสายหนูในแม่น้ำกก-สาย-โขง

ENVIRONMENT

สายน้ำติดเชื้อ บทเรียนจาก Jinzū River ลำห้วยคลิตี้ และเหมืองแร่ดีบุกร่อนพิบูลย์  สู่แม่น้ำกก – สาย – โขง ที่กลายเป็นพิษ

ปี 1968 โรค itai-itai อ่านว่า อิไต อิไต ชื่อโรคที่เลียนตามเสียงร้อง โอ้ย-โอ้ย ในภาษาญี่ปุ่น ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการครั้งแรกจากรัฐบาลญี่ปุ่น และนับว่าเป็นโรคแรกในญี่ปุ่นที่ได้รับการยอมรับว่า เกิดจากมลพิษอุตสาหกรรม

หลังจากที่ชาวบ้านต้องทนกับความเจ็บปวดมานานหลายสิบปี ตั้งแต่ที่แพทย์ท้องถิ่น ชื่อว่า ฮาจิโนะ เริ่มสังเกตอาการของโรคนี้ในปี 1930

เสียงร้อง ‘โอ้ย’ จากความเจ็บปวดของพิษไข้ทางไต ไม่ว่าจะท่อไตอักเสบ การทำงานของไตล้มเหลว (ไตวาย) ไตฝ่อ และจากข้อมูลที่มีการบันทึกบนเว็บไซต์ ของโรงเรียนแพทย์คานาซาวะ ระบุว่า ลักษณะความเสียหายของไต จากโรคอิไต-อิไต มีลักษณะเฉพาะ และสามารถทำให้น้ำหนักของไตลดลงครึ่งต่อครึ่ง

ซึ่งไม่ใช่แค่ไตล้มเหลวเท่านั้น แต่โรคนี้ยังทำให้เกิดภาวะอื่น อย่าง กระดูกอ่อน ผุ เปราะง่าย คล้ายกับโรคกระดูกนิ่ม หรือที่ภาษาทางการแพทย์เรียกว่า osteomalacia ซึ่งเป็นภาวะสืบเนื่องกับการทำงานผิดปกติของไต 

และอาการเจ็บปวดจากข้างในที่ว่ากันว่า เจ็บเหมือนการถูกยิง แต่สิ่งที่แย่กว่านั้นคือ หากถูกระบุว่าเป็นโรคอิไต-อิไต ตามการบันทึกระบุว่า อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยโรคนี้อยู่ในระดับที่ต่ำ และส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคมักพบในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี เช่นเดียวกันกับผู้หญิงตั้งครรภ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นานกว่า 30 ปี

ความน่ากลัวของโรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่โรคโอ้ย-โอ้ย นี้เกิดจาก การทำเหมืองของบริษัท Mitsui Mining and Smelting ที่ทิ้งกากแร่แคดเมียมลงสู่แม่น้ำ Jinzū (จินซุ) ในจังหวัด Toyama  (โทยามะ) ประเทศญี่ปุ่น จนผลกระทบเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ที่ผู้คนจำนวนร้อยหลายเป็นโรค

เราคงจินตนาการไม่ออกว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากโรคนี้จะร้ายแรงขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ ลำพังอาการปวดหลังจากการนั่งทำงานทั้งวัน คงเทียบกับความเจ็บปวดทางกายและความทุกข์ทางใจของคนที่เป็นโรคอิไต-อิไตไม่ติด

สายน้ำที่เคยมีชีวิตกลับกลายเป็นอัมพาต ไร้สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ บทเรียนราคาแพงนี้ไม่ได้มีแค่ในต่างประเทศเท่านั้น หากเรามองย้อนกลับมา ประเทศไทยก็มีบทเรียนราคาแพงจากการพัฒนาหลายเหตุการณ์อยู่เหมือนกัน 

และหนึ่งในนั้นการประกอบกิจการเหมืองแร่ ได้ให้กำเนิดโรคๆ หนึ่งที่เรียกกันเป็นภาษาชาวบ้านว่า ‘โรคไข้ดำ’ ที่รุนแรงไม่ต่างกันจากโรคมะเร็ง

ปี 1987 โรงพยาบาลมหาราช จ.นครศรีธรรมราช ตรวจพบผู้ป่วยเป็นโรคผิวหนังผิดปกติ แพทย์วินิจฉัยว่า เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากพิษสารหนูเรื้อรัง โดยมีสาเหตุจากการสะสมของสารหนู หรือ Arsenic ในร่างกาย ไม่ว่าจะใน เลือด ผม เล็บ และปัสสาวะ พบค่าสารหนูสูงเกินมาตรฐาน

พร้อมกับความผิดปกติอื่นๆ ที่มีตั้งแต่ ผิวหนังแห้ง มีจุดดำ ฝ่ามือและเท้าหนาเป็นหย่อม เล็บมือเล็บเท้าเปลี่ยนสี มือเท้าชา อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และค่อยๆ พัฒนามาเป็นมะเร็งผิวหนัง จนชาวบ้านเรียกชื่อโรคนี้กันเองว่า ‘โรคไข้ดำ’ 

โรคไข้ดำเกิดขึ้นกับชาวบ้าน อ.ร่อนพิบูลย์ที่สุดจะขึ้นชื่อแหล่งแร่ดีบุดอันดันต้นๆ ของประเทศ หลังจากมีการทำเหมืองและแต่งแร่ดีบุก น้ำและดินปนเปื้อนสารหนูยาวนานกว่า 60 ปีที่มีการทำเหมือง

มูลค่าแร่ดีบุก ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์จากการแยกสารหนูออกมา ด้วยวิธีเจาะงัน หรือเจาะสายแร่ ก่อนจะแยกแร่ดีบุกออกจากแร่อื่นที่ไม่ต้อง โดยที่แร่อาร์ซิโนไพไรต์ ซึ่งเป็นแร่ที่มักเกิดรวมอยู่กับดีบุก มีองค์ประกอบเป็นสารหนูกว่า 46% และมีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี ทำให้สารหนูแพร่สู่ธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะผ่านน้ำที่ใช้ในการแยกแร่ หรือดินที่น้ำจากเหมืองเหล่านี้ซึมลงไป

ตั้งแต่การทำเหมืองและแต่งแร่ ไปจนถึงการทิ้งกากแร่สู่ธรรมชาติ  ทำให้สารหนูซึมแม่น้ำและดิน เข้าสู่ร่างกายชาวบ้านผ่านน้ำกิน น้ำใช้ จนมีคนป่วยเป็นโรคไข้ดำในช่วงปี 1987-1991 กว่า 1,500 คน  พร้อมกับมีการรายงานว่าคนงานในโรงงานร่อนแร่ ป่วยเป็นโรคพิษสารหนูเรื้อรัง (Arsenicosis) หรือ โรคไข้ดำเกือบครึ่งหนึ่ง (กว่า 46%)

ในวันที่หลายคนอาจจำชื่อเหมืองไม่ได้อีกต่อไป แต่สิ่งที่เหลือไว้คือ มลพิษในสิ่งแวดล้อมและโรคที่แลกมากับความมั่งคั่งและการพัฒนาที่ที่ได้มาจากผืนดิน 

มาจนถึงตรงนี้ เหมืองไม่ต่างอะไรกับอาวุธ ที่สามารถทำให้คนล้มป่วยพร้อมกันได้ไม่ต่างจากอาวุธชีวภาพในหนังภาพยนตร์ที่เราดูกันในปัจจุบัน ซึ่งบทเรียนจากร่อนพิบูลย์ไม่ได้เป็นเพียงบทเรียนด้านสิ่งแวดล้อม แต่มันคือการเตือนสติทั้งประเทศว่า “การพัฒนาโดยปราศจากการดูแลสิ่งแวดล้อม” มีต้นทุนมหาศาลแค่ไหน

แต่บทเรียนนี้ก็ไม่ได้การันตีเพดานมาตรฐานสิ่งแวดล้อมของไทยสูงขึ้นแต่อย่างใด ในวันที่ลำน้ำใสแห่งลำห้วยคลิตี้กลายเป็นตะกั่ว มาจนถึงปัจจุบัน

กลางหุบเขาเขียวขจีใน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี “ลำห้วยคลิตี้” เป็นแหล่งสะอาดของชุมชนคลิตี้ล่าง ใช้ดื่ม ใช้กิน และใช้ทำการเกษตรกรรม ก่อนที่จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของมลพิษสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงที่สุดอีกแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นมรดกที่ทิ้งไว้จากเหมืองเช่นเคย

ย้อนกลับไปในปี 1967 บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เริ่มดำเนินกิจการเหมืองแร่และโรงแต่งแร่ตะกั่วที่ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ มีการลักลอบปล่อยน้ำเสียที่เต็มไปด้วยสารตะกั่วลงสู่ลำห้วยคลิตี้

สัญญาณแห่งหายนะเริ่มจากปลาตายไร้สาเหตุ ลำน้ำที่ไม่เคยได้กลิ่นก็ส่งกลิ่นแปลกไปทั่ว พร้อมๆ กับที่ชาวบ้านเริ่มมีอาการปวดหัว ปวดกระดูก และอ่อนแรง ในที่สุดก็ตรวจพบสารคั่วในเลือด สารที่ส่งผลต่อระบบประสาทและพัฒนาการของเด็ก

สารตะกั่วปริมาณสูงในสิ่งแวดล้อม ซึมเอาสู่ร่างกายทำให้ชุมชนคลิตี้ล่างกลายเป็นหมู่บ้านที่มีระดับสารตะกั่วในเลือดสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนไทย และการทวงคืนความยุติธรรมก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยรัฐ แต่เป็นเพราะ ชาวบ้านคลิตี้ล่าง 22 คนลุกขึ้นสู้ ฟ้องกรมควบคุมมลพิษในศาลปกครองกลางในปี 1998 ว่า หน่วยงานรัฐปล่อยให้เกิดการปนเปื้อนโดยไม่จัดการอะไรเลย

นำมาสู่การตัดสินของศาล สินให้กรมควบคุมมลพิษจ่ายเงินชดเชย และที่สำคัญคือ ต้องฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้กลับมาสะอาดเหมือนเดิม แต่ 27 ปีผ่านมา การดูดตะกอนในลำห้วยบ้านคลิตี้ ก็ยังดำเนินการไม่จบไม่สิ้น ที่ถึงแม้ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปิดคลุมหลุมฝังกลบ แต่ปี 2023 ก็ยังตรวจพบระดับสารตะกั่วในเลือดของชาวบ้านคลิตี้บนและคลิตี้ล่าง (ที่ถึงแม้จะมีระดับลดลงแล้ว)

กว่า 37,723 ตัน คือ ตะกอนพิษที่ต้องดูดไปฝังกลบ จากบทเรียนเหมืองคลิตี้ คงไม่คุ้มเท่าไรกับการแลกผืนดิน ผืนฟ้า สายน้ำ ธรรมชาติที่สำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ กับสารพิษ

และจากบทเรียนเหล่านี้เราไม่อาจรอให้มีคนป่วย หรือล้มตายไปก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหา ความล่มสลายของสิ่งแวดล้อมและชีวิตของผู้คน ไม่น่าคุ้มกับการพัฒนา ยิ่งถ้าเป็นการพัฒนาที่ประโยชน์ไม่ได้ตกทอดมาถึงคนในพื้นที่แม้แต่น้อย และปัจจุบันบทเรียนบทใหม่ก็เกิดขึ้นแล้ว

มลพิษข้ามพรมแดน จากเหมืองแร่ในเมียนมา ที่เปลี่ยนแม่น้ำกก-สาย-โขง ให้กลายเป็นแม่น้ำปนเปื้อนโลหักหนัก สารหนู ตะกั่ว แมงกานีส ความท้าทายที่รัฐต้องเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา

แต่กลับกลายเป็นว่า ปัจจุบันมีการพูดถึงโครงการตรวจวัดคุณภาพน้ำจากหลายหน่วยงาน แต่ไม่มีหน่วยงานไหนเลยที่พุ่งไปที่ต้นต่อของปัญหา คือ การปิดเหมืองในประเทศต้นทาง และหยุดทำให้แม่น้ำกลายเป็นพิษ

วันนี้เรายังมีโอกาสกู้สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ปลอดภัยกลับมา จากการเรียนรู้

บทเรียนราคาแพงเหล่านี้ การขุดเจาะหาแร่ และมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมที่ต่ำ ว่านำหายนะขนาดไหน โดยที่ไม่ต้องรอให้คนเป็นโรคอิไต-อิไต ไข้ดำ หรือ ตรวจพบสารหนูที่ทำให้เป็นมะเร็งในเลือดของประชากรนับล้านที่วันนี้ก็ยังรอการแก้ไขอย่างจริงจังจากรัฐบาลอยู่

 

อ้างอิง

 

PloythidaWriterPloythida
นักข่าวที่สนใจประเด็นสิ่งแวดล้อมและสังคม ตื่นเต้นกับเรื่องราวของผู้คนและการเดินทาง

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง