“น่าจะหมดเวลาลองผิดลองถูก แต่เป็นเวลาที่เราจะได้อยู่ในตำแหน่ง ที่พรรคการเมืองนั้นไว้วางใจ มอบหมาย และเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง” ไม่ต่างกับคนอื่น ที่เมื่อเวลาผ่านไปความคาดหวัง และเป้าหมายก็จะเปลี่ยนแปลงตาม เช่นที่ อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์ พรรคกล้าธรรม บอกเล่าเอาไว้
ภาพจำของ อนุดิษฐ์ อาจต่างออกไปตามการรับรู้ ของคนแต่ละช่วงวัย เขาอาจเป็น ‘ผู้การป๊อป’ ในสายทหาร เป็น สส.อนุดิษฐ์ คนพลังประชาชน เป็นเลขาฯ ไทยสร้างไทย
‘การเมืองบั่นปลาย’ ของนักการเมืองในวัยเลข 60 คือเหตุผลที่เขากลายมาเป็น ประธานยุทธศาสตร์ กล้าธรรม ด้วยเชื่อว่า จะไปสู่เส้นทางความจริงเหตุผลของการเลือก ‘กล้าทำ’ คืออะไร แล้วทำไมถึงยังวกกลับสู่หน้าการเมือง ทักที่เคยหยุดพักไปราว 2 ปี หาคำตอบผ่านการพูดคุย ในรายการ TODAY LIVE ของสำนักข่าวทูเดย์
[ซื้อ DNA กล้าธรรม เหตุผลข้อแรก]
“เราอายุ 40 คิดแบบนึง พอเป็นนักการเมือง ตอนอายุ 50 อาจคิดแบบนึง ตอนนี้ผมอายุ 60 สิ่งที่เราคาดหวังกับการเมืองบั่นปลาย” อนุดิษฐ์ เริ่มต้นเล่าถึงหน้าที่ ‘ประธานยุทธศาสตร์’ ของพรรคกล้าธรรมตอนนี้ ที่รับผิดชอบกำหนดเป้าหมาย เพื่อพาให้พรรคเป็น ‘สถาบันการเมือง’
ที่จะใช้อำนาจตามที่ได้รับ ผลักดันลายลักษณ์อักษรที่ให้ไว้กับประชาชน ไปสู่นโยบายจริง “อยากทำการเมืองอย่างที่ตัวเองอยากเห็น คือทำยังไงเราถึงทำได้ประเทศ และประชาชน ‘ดีขึ้น’”

หากไม่อคติจนเกินไป และวัดที่การทำงานจริง ย่อมเห็น ‘DNA วิ่งชนปัญหา’ ของคนกล้าธรรม ตามความเห็นของ อนุดิษฐ์ เขากล่าวติดตลกว่า ไม่ได้หมายรวมว่าพรรคที่เคยสังกัดไม่มีสิ่งนี้ เพียงแต่แนวคิดเจอปัญหาแล้วต้องแก้ไข เหมาะกับนักการเมืองในวัย 60 ปี อย่างอนุดิษฐ์
อีกทั้งความสัมพันธ์ส่วนตัว ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องนักเรียนเตรียมทหาร กับ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรค ก็ยิ่งทำให้คุยกันง่าย
[รำลึกถึงความหลัง นักการเมือง ‘แข่งกันทำงาน’]
แต่เรื่อง ‘คุยง่าย’ สำหรับ อนุดิษฐ์ อาจไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในพรรคเท่านั้น เพราะประสบการณ์ที่เคยเป็นทั้งพรรคร่วม ฝ่ายค้าน และรัฐบาล ทำให้ ‘เพื่อนร่วมงาน’ จากคนนั่งชิด ก็กลายเป็นคนนั่งตรงข้าม จนเป็นปกติแล้วทว่า ทุกอย่างคุยกันได้ ด้วยความเชื่อพื้นฐานว่า นักการเมืองทุกคน ต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือเป็น ‘ผู้แทน’ ของคนที่เลือกมา
อนุดิษฐ์ เล่าย้อนไปถึง สมัยรับราชการทหาร ในวัยใกล้ 40 ปี ที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ จนอาจเติบโตสูงสุดในเส้นทางนี้ได้ ก็ไม่ใช่คำพูดเกินจริง
ไม่อาจปฏิเสธว่า การเติบโตมาใน ครอบครัวการเมือง ‘นาครทรรพ’ และเป็นบุตรชายของ น.ต.ฐิติ นาครทรรพ ที่เคยถูกยอมรับในฐานะล็อบบี้ยีสต์การเมืองไทย มีส่วนทำให้ตัดสินใจหันเหเส้นทางชีวิต
ถึงจะเกิดที่เชียงใหม่ แต่การไปเติบโตที่หนองคาย ต่อด้วยใช้ชีวิตราชการ 16 ปี ในพื้นที่ภูมิภาคที่เคยขึ้นชื่อเรื่องความแร้นแค้นของไทย ได้สัมผัสการต่อสู้ดิ้นรน เห็นเด็กพลัดพ่อพลัดแม่ ด้วยตนเอง ยิ่งย้ำให้ ใจที่มีความคิดเสมอ ว่าอยากเป็น ‘นักการเมือง’ ไม่เลือนไป
มากไปกว่านั้น อนุดิษฐ์ ในตอนนั้น ยังเห็นโอกาสภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ครั้ง รธน. ฉบับปี 2540 ว่าทำให้การทำงานการเมืองเพื่อประชาชน เกิดได้จริง “ส่วนหนึ่งคือความเชื่อ ว่าการเมืองจะทำให้ประชาชน และประเทศ ดีขึ้นได้จริงๆ”

ถึงตอนนี้ ใครจะมองว่านักการเมืองที่ชื่อ อนุดิษฐ์ อาจ ‘อกหัก’ จากเส้นทางการเมืองที่ต้องผจญมา ทั้งการเป็นฝ่ายค้านและรัฐบาล ใต้ ครม. เดียวกัน เคยเป็น รมว. เคยร่วมม็อบ เคยโดนม็อบไล่ ไปจนถึงโดนปฏิวัติถึง 2 ครั้ง ทว่า ตลอดเส้นทางเหล่านั้น มีเรื่องราวให้เก็บเกี่ยวนับไม่ถ้วน
“สมัยนั้น (ครม.ทักษิณ) จำได้ว่า รมต. ทุกคนต้องแข่งกันทำงาน เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่ประสบความสำเร็จ ในการขับเคลื่อนนโยบาย ทำให้ประชาชนพอใจ มีรอยยิ้ม ก็ถือว่าทำงานหนักแล้วสำเร็จ”
อนุดิษฐ์ ถ่ายทอดเรื่องเล่าของนักการเมือง ที่แข่งกันทำงานหนัก เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า จนตัวเลขเศรษฐกิจดีแบบก้าวกระโดด ถึงขนาดที่ที่ประชุมผู้นำอาเซียนยังยกย่องไทย ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เคยยอมแพ้ในฐานะนักการเมือง” คือคำพูดปิดท้ายที่ อนุดิษฐ์ ใช้จบเรื่องเล่าในช่วงเวลานั้น
[ไม่ได้ทำพรรค เพื่อเลือกตั้งครั้งเดียว]
ประสบการณ์ที่ผ่าน ย่อมสอนให้ อนุดิษฐ์ คุ้นชินกับการประเมิน และเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะกับการเลือกตั้งครั้งถัดไป ที่ยังไม่รู้ว่าจะเร็วหรือช้าในฐานะประธานยุทธศาสตร์ หนึ่งในหน้าที่สำคัญ คือ การสรรหาผู้สมัคร ซึ่ง อนุดิษฐ์ ยืนยันหนักแน่นว่า กล้าธรรมไม่ใช่ไม้ประดับ
“เราไม่ได้ตั้งใจ จะทำพรรคการเมือง เพื่อการเลือกตั้งครั้งเดียว…ถ้าเรามีตัวแทน ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมและเพียงพอ เราส่งผู้สมัคร 400 เขตแน่นอน”
อย่างที่กล่าวไปแต่ต้น ว่าเป้าหมายที่จะเดินหน้าสู่ ‘สถาบันการเมือง’ นั้น เงื่อนไขแรกที่เขาต้องทำให้ได้ นั่นคือ “แผ่นดินไทยไม่ว่าตารางนิ้วไหน ก็ไม่ควรถูกทอดทิ้ง”

“ผมรู้สึกประทับใจ กับผู้ปฏิบัติงานทางการเมือง ของพรรคกล้าธรรมจริงๆ คนเหล่านี้เหมือนน้ำไม่เต็มแก้ว” อนุดิษฐ์ เล่าถึงการทำงานกับสมาชิกพรรค ในขั้นตอนจัดทำชุดนโยบาย
ตั้งเป้า สส. กี่คน? ถึงตอนนี้คงแปลกถ้าไม่ถามสิ่งนี้ อนุดิษฐ์ ตอบอย่างไม่ปิดบังว่า “ตั้งเป้า 100 คน” ด้วยสถานการณ์ ณ ปัจจุบันที่มีผู้ปฏิบัติงาน และว่าที่ผู้สมัคร สส. รายพื้นที่เรียบร้อยแล้ว มากกว่า 100 เขต และครอบคลุมทุกภาค ตั้งแต่ชายแดนใต้ ใต้ กลาง ตะวันออก เหนือ และ ตะวันออกเฉียงเหนือ
ทั้งนี้ อนุดิษฐ์ กล่าวว่า คงเร็วเกินไปที่จะตอบได้ว่าแล้วใครคือแคนดิเดต นายกฯ ของพรรค เพียงอธิบายเพิ่มได้ว่า กล้าธรรมอาจไม่ใช่หน้าการเมืองแบบที่ผู้คนคาดหวัง ว่าจะหล่อสวย พูดจาดีคนดูไว้ใจ หรือพูดอังกฤษเก่ง ดูดี มีทางออกทุกเรื่องทั้ง
ทั้งนี้ยังยืนยันว่า “พรรคกล้าธรรม คือ พรรคกล้าธรรม” ลบข้อครหาว่าเป็น ‘พรรคสาขา’ ของเพื่อไทย
อนุดิษฐ์ กล่าวถึงความสัมพันธ์กับนายเก่า อย่างอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ว่าด้วยตรรกะส่วนตัว เชื่อว่าใครคนใดคนหนึ่ง มีเงินทองหลายหมื่นล้าน ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อจะเข้ามาทำงานการเมือง ย่อมมีเจตนา และความตั้งใจดี ในวันนั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาและสถานการณ์เปลี่ยนไป อนุดิษฐ์ จึงมองว่าขึ้นอยู่กับความคิด และการตัดสินใจของประชาชน ว่าจะวาง ‘ท่าน’ ไว้ในตำแหน่งใด “พรรคการเมือง จะเป็นสถาบันการเมืองได้ ต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ตราบใดที่คนทำงานยังไม่ได้หมดแรง” อนุดิษฐ์ กล่าวปิดท้าย










