ไม่ว่าจะ เห็นด้วย หรือ เห็นต่าง แต่การขยับตัวของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ถูกขยายความตามบริบทการเมืองไทยบ่อยครั้ง ทั้งในฐานะนักเคลื่อนไหว ผู้แทนราษฎร และผู้ช่วยหาเสียงคนสำคัญของเพื่อไทย
อย่างล่าสุด ในวันที่ครอบครัวชินวัตร เข้าเยี่ยม อดีตนายกฯ ทักษิณ ที่เรือนจำครั้งแรก ณัฐวุฒิ โพสต์ภาพพร้อมข้อความ “ความอยุติธรรมที่ต้องแบกรับ…ใครไม่เจอกับตัวคงไม่รู้” ก่อนในเวลาต่อมา จะบานปลายไปถึงการต่อคำ กับ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อีกหนึ่งผู้ติดตามทางการเมือง จนเป็นที่สนใจ
ตอกย้ำว่า ในวัย 50 ปี ณัฐวุฒิ ยังคงมีพื้นที่แสดงความคิดเห็น และสร้างข้อถกเถียงทางการเมืองอยู่ไม่น้อย
ดังนั้น เหตุผลที่เจ้าตัวยังอยากอยู่กับเพื่อไทย ทั้งที่เล่าผ่านรายการ TODAY LIVE ของสำนักข่าวทูเดย์ ว่าผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ อย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยชวนทำงาน จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง
[ เพื่อนฝ่ายประชาธิปไตย “หันไปหันมาก็เจอผม” ]
“สำหรับเพื่อน พี่ น้อง ทางการเมือง ไม่ว่าจะอยู่กันคนละพรรค รักกันคนละอย่างไปแล้ว แต่ผมไม่เคยราวีฟาดฟันใคร เพราะผมคิดว่า วันนึงถ้าพลังฝ่ายประชาธิปไตยต้องการเพื่อนอีกครั้ง หันไปหันมาไม่เจอใครก็เจอผม”
อาจไม่ใช่ครั้งแรก ณัฐวุฒิ บอกเล่าความเชื่อส่วนตัวที่ว่า ความมั่นคงใน ‘หลักยืน’ และ ‘มิตรภาพ’ จะเป็นประโยชน์ในระยะยาว
ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง เป็นสิ่งที่นักการเมือง พรรคการเมือง รวมถึงบรรดานักเคลื่อนไหว ต่างมีเป็นพื้นฐาน ดังนั้น การยืนอยู่ในฝั่งตรงข้ามกัน จึงไม่ใช่เหตุผลจะไปตัดสิน และกล่าวร้ายต่อใคร
เจ้าตัวยกตัวอย่าง ‘พรรคภูมิใจไทย’ ซึ่งมีความเชื่อต่างกัน แต่ในใจของเขา ไม่เคยคิดมองเป็นศัตรู “ผมไม่เคยคิดว่า ผมและพวกเขาเป็นศัตรูส่วนตัวระหว่างกัน”
จึงไม่แปลกที่ ‘เยี่ยมใต้’ ร้านอาหารซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัวของเจ้าตัว จะกลายเป็น “ดินแดนแห่งมิตรภาพ” ที่มีผู้เห็นต่างมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง “ที่นี่ผมขายข้าว ไม่เคยขายเพื่อน” เจ้าตัวเล่าและกล่าวติดตลก พร้อมแสดงความเห็นต่อว่า ในสังคมที่มีความหลากหลาย ‘คนการเมือง’ ต้องกำหนดวิธีคิดให้ได้ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีในทางสังคม

[ สนใจและชื่นชอบ ‘เจ้าของดาวเทียมไทยคม’ ]
“ผมไม่เคยย้ายไปไหน และไม่เคยคิดไปไหนเลย เป็นนักการเมืองที่มีประวัติอยู่มาหลายพรรคมากแล้ว แต่ไม่เคยย้ายนะครับ เขายุบก่อนผมทุกที”
ณัฐวุฒิ เล่าย้อนไปว่า สมัยที่ยังเรียนชั้นมัธยม อยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช สนใจข่าวสารมาตลอด และความสนใจต่อ ‘เจ้าของดาวเทียมไทยคม’ อย่าง ทักษิณ ชินวัตร ก็มากตามไปด้วย “เห็นท่านทำการเมือง วิธีคิดไม่เหมือนคนการเมือง ที่เราเห็นมาตั้งแต่เล็ก ก็อยากเข้าที่นี่”
ในวัย 25 ปี เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าพรรคไทยรักไทย แต่ติดปัญหาเรื่องโควต้า จึงได้ไปร่วมงานกับ ‘พรรคชาติพัฒนา’ โดยที่ไม่เคยรู้จักใครมาก่อน มีเพียงหนังสือประวัติส่วนตัวที่หอบไป
จนมา ปี 2548 พรรคต้นสังกัดยุบรวมกับไทยรักไทย โดยที่ไม่ได้มีตัวเขาพ่วงด้วย ณัฐวุฒิ ตัดสินใจสมัครเข้าด้วยตัวเอง พร้อมกับคุณสมบัติของ การเป็นผู้สมัครที่คะแนนสูงสุดในพื้นที่ภาคใต้ที่รับผิดชอบ ถึงได้มีโอกาสลงสมัคร สส.
ณัฐวุฒิ เล่าว่า เขาสังกัดพรรคเรื่อยมา มีโอกาสส่งเสียงเบาๆ ไม่ต่างจาก ‘ปืนแก๊ป’ ครั้งการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ จนมาถึงปี 2549 ที่มีการยึดอำนาจโดยรัฐบาลทหาร จึงเป็นคนหนึ่งที่ต้องเข้าสู่เรือนจำ
“ผ่านร้อนผ่านหนาวมากับพรรคการเมืองนี้ไปเรื่อยๆ ออกไปไทยรักษาชาติ เพราะกติกาบัตรใบเดียว เอาจริงๆ ก็ในเครือพรรคเพื่อไทย ผมไม่ได้ไปไหน” ณัฐวุฒิ ย้ำว่าคงมาพอตอบคำถามตั้งต้นที่ว่า เหตุใดถึงไม่เคยคิดย้ายพรรค
“ผมคิดว่าที่นี่เป็นบ้าน คนในนี้เป็นเพื่อน พี่ น้อง เคารพศรัทธา นายกฯ ทักษิณ มีปัญหาไม่เคยวิ่งหาเพื่อนพี่น้อง”
“ที่เขาย้ายๆ กัน สมัย พล.อ.ประยุทธ์ เทอม 2 พรรคพวกแซวว่า ‘ไปเต้นจะอยู่ทำไมที่นี่ ในตลาดนักเตะ ค่าตัวมึงไม่ได้ถูกกว่าใครเลย’ ผมบอกตามสบาย ใครไปก็ไป ผมอยู่อย่างนี้แหละ”
ถึงตอนนี้ ณัฐวุฒิ ยังมองว่า ไม่เคยคิดเสียใจกับการตัดสินใจนี้ เพราะไม่อาจทิ้งพี่น้องที่ต้องผ่านการปฏิวัติด้วยกันมา

[ ไม่เคยคิดเปลี่ยนพรรค ปัดคำชวน ‘ธนาธร’ ]
“ตอนคุณธนาธรจะตั้งพรรคอนาคตใหม่ ก็มาชวนผมที่บ้าน 2 รอบ” ณัฐวุฒิ บอกเล่าถึงครั้งได้รับคำชักชวนร่วมพรรค ทั้งที่ยังไม่ประกาศชื่อ ‘อนาคตใหม่’ เสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากมีโอกาสสังสรรค์ กับ ธนาธร รวมถึง ปิยบุตร แสงกนกกุล อยู่หลายครั้ง และถึงจะได้รับฟังแนวคิดการก่อตั้งพรรค ที่หนักแน่นและเข้มแข็ง แต่คำตอบของเจ้าตัวก็ยังเป็นเช่นเดิม
“ผมตอบเขา (ธนาธร) ผมไปไม่ได้หรอก เพราะที่นี่ก็ลำบากอยู่ เพื่อไทยถูกปฏิวัติ และผมก็ไม่มีอะไรขัดแย้งกับที่นี่ ผมบอกเอกเดินเถอะ พี่อยู่ที่นี่แหละ”
และในวันปิดสมัยประชุมแรก ของพรรคอนาคตใหม่ ภรรยาของเขายังมีโอกาสทำอาหารให้บรรดาแกนนำในตอนนั้น “พื้นที่ของมิตรภาพยังอยู่ ผมนั่งแสดงความเห็นต่าง ไม่ได้ประสงค์ร้าย ผมอาจตั้งข้อสังเกตผิด แต่ผมแน่ใจว่าเป็นแบบนี้”
แนวทางการใช้ชีวิตเช่นนี้ ณัฐวุฒิ ย้ำว่า ทำให้เขามั่นใจในวิธีคิดของตัวเอง โดยไม่เปลี่ยนแปลงตามจุดยืนคนอื่น และยินดีรับผลที่ตามมา
ตอนท้าย ณัฐวุฒิ ย้ำว่าเขาไม่เคยเรียกอดีตนายกฯ ทักษิณ ว่า ‘นาย’ แต่เรียกว่า ‘ท่าน’ ด้วยความเคารพ และมองว่า ไม่ได้คิดว่าเพื่อไทยดีเด่น แต่ครั้งหนึ่งก็เคยทำงานให้คนยากคนจน มีประวัติศาสตร์ที่คนได้ประโยชน์จับต้องได้ โดยเฉพาะการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองของไทย ให้คนต้องแข่งกันด้วยนโยบาย ผลิตนักการเมืองคุณภาพ และตระหนักดีถึงเสียงวิพากษ์
“ผมไม่คิดเปลี่ยนแปลงอะไร” ยังคงเป็นคำตอบ ณ เวลานี้ของเขา หลังใช้เวลาครึ่งหนึ่งของชีวิตกับพรรคการเมืองเดียว










